26 March 2016

25.03.2016 วันศุกร์ - Karfreitag

แถม ให้ฟังเพลงเพราะๆไปด้วยตอนอ่านนะ :-)



เมื่อวาน หลังจากกลับมาจากบ้านจินนี่แล้วเตยก็ได้อ่านบทความจากเพจ My Modern Met (บทความเต็มสามารถอ่านได้ ที่นี่) ซึ่งเป็นเกี่ยวกับช่างภาพชาวฮาวาย (ไดอาน่า คิม) ที่กำลังทำโปรเจ็ค The Homeless Paradise กลับบังเอิญไปเจอพ่อแท้ๆของเธอเป็น homeless อยู่บนถนน เตยอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกทั้งเศร้าและดีใจปนไป ถึงแม้จะโดนพ่อกับแม่ทิ้ง มีชีวิตในวัยเด็กที่ลำบาก แต่ไดอาน่าก็ไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจใยดีพ่อได้ 

ตัวพ่อเขาเองก็เข้าใจดี 

เตยรู้สึก touch ตอนที่พ่อบอกว่า "Diana, I am so sorry for not being in your life. I am so happy that you have a family of your own now. Do better for them. Don't worry about me or what everyone says about me. If you want to make me proud and happy, be there for your family the way your mom and I never were. Stop trying to save everyone...just worry about yourself and your family. And don't forget why I named you Diana, you are the light within the darkness."

"ไดอาน่า พ่อขอโทษที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกเลย พ่อดีใจที่ลูกมีครอบครัวของตัวเองแล้ว ทำดีกับพวกเขาให้มากๆ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพ่อหรือกังวลว่าคนอื่นจะพูดถึงพ่อยังไง ถ้าลูกอยากจะทำให้พ่อภูมิใจและมีความสุข อยู่ตรงนั้นเพื่อครอบครัวของลูกแบบที่พ่อกับแม่ไม่เคยทำ หยุดพยายามจะช่วยเหลือทุกคนเถอะ ห่วงแค่ตัวเองกับครอบครัวก็พอแล้ว และอย่าลืมเหตุผลว่าทำไมพ่อถึงตั้งชื่อลูกว่าไดอาน่า เพราะลูกคือแสงสว่างท่ามกลางความมืด"

เตยแบบ โห ถ้าเราเป็นไดอาน่าจะรู้สึกยังไง เราจะโกรธหรือเปล่าที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่จำความได้ ต้องยืนบนลำแข้งตัวเองตลอด 

...นั่นจะทำให้พ่อแท้ๆเรากลายเป็นแค่คนแปลกหน้าไหมนะ? 

แล้วสายเลือด มันมีความสำคัญมากขนาดไหน? แค่ว่ามีสายเลือดเดียวกัน จะทำให้เกิดความรักขึ้นโดยอัตโนมัติไหม? 

ถ้าไม่ ตอนเราเกิด พ่อกับแม่ยังไม่เคยรู้จักเราเลยเขายังรักเรา แล้วทำไมเราถึงจะรักพ่อกับแม่โดยอัตโนมัติบ้างไม่ได้?

พอเตยอ่านบทความมาถึงตอนที่ไดอาน่ารู้สึกโกรธที่มีคนมาบอกเธอว่าอย่าไปสนใจเขาเลย เขาอยู่ตรงนี้มาเป็นอาทิตย์ๆแล้ว เธอโกรธ ที่คนอื่นทำไมถึงไม่สนใจใยดีเขาบ้าง เธออยากจะกรีดร้องออกไปบอกว่า "นี่คือพ่อฉันนะ" แต่ก็ทำไม่ได้ 

เตยเข้าใจไปในเชิงที่ว่า แล้วสำหรับคนไร้บ้านคนอื่นๆล่ะ คนทั่วไปเราก็ไม่ได้สนใจใยดีจริงๆหรอก ถ้าคนคนนี้ ไม่ใช่พ่อของเราเอง ชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตเราเลย ความสองมาตรฐานนี้ เกิดจากสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์สินะ 

ขอโทษนะที่ฟังดูอคติเกินไป คงจะไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนี้หรอก แต่แค่สำรวจจากคนรอบๆข้าง หรือแม้แต่ตัวเองก็ใช่ เตยยอมรับ ว่าเตยคิดแบบนั้น เตยไม่ได้ใส่ใจอย่างจริงจังหรอก impact ของพวกเขามีต่อชีวิตเตยก็จริง แต่มันกลายเป็นแรงผลัก เตือนสติว่าเราต้องทำหน้าที่ ใช้ชีวิตให้ดี เราไม่ได้อยากจะไปอยู่ในจุดๆนั้น เราไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เตยไม่รู้ว่าการเป็นคนไร้บ้านมีอิสระมีจุดดีแบบไหนบ้าง (ทุกอย่างบนโลกนี้ก็มีทั้งดีและเสียล่ะนะ) แต่เตยรู้ว่ามันคงไม่ดีกับเตยแน่ๆ

ปล. อีกประโยคที่เตยชอบมากๆ คืออ่านแล้วรู้สึกว่ามันซึมเข้าไปข้างใน คือประโยคนี้ของไดอาน่า

"There is no failure unless you give up, and he never gave up. And I haven't given up on him.""มันไม่มีหรอกความล้มเหลว ยกเว้นแต่ว่าเธอจะยอมแพ้ และเขาไม่ได้ยอมแพ้ และฉันก็ไม่ได้ยอมแพ้ที่จะช่วยเขา"


(อาจจะปรับเปลี่ยนความหมายตามบริบทบ้างเล็กน้อยนะคะ มือใหม่หัดแปล๕๕๕)



----------


สุขสันต์วันอีสเตอร์นะคะ



กระต่ายช็อกโกแลตได้จากหมอที่ตรวจคอนแทคเลนส์ให้ หมอน่าร๊ากกกกมากๆ >_<


No comments:

Post a Comment