30 March 2016

30.03.2016 วันพุธ

หึหึหึหึ

วันนี้ปรอทความสุขเตยทะลุอีกแล้วฮัฟเพราะเมลีสทำข้าวเที่ยงให้กิน เตยแฮปปี้ดี๊ด๊ามั้กๆ นี่เป็นผลพลอยได้จากการที่เพื่อนเค้ามาบ้านแล้วแต่ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน มันเลยตกมาเป็นลาภปากให้เตยเอง ฮุฮุ

แต่นแต๊นนนนนน



น่ากินมั้ย ><

เจ้านี่เรียกว่า Quiche ค่ะ เกิดมาไม่เคยกินมาก่อนเช่นกันเลยรู้สึกตื่นเต้น๕๕ เห็นเมลีสบอกว่ามันเป็นคล้ายๆเค้ก แต่มันเป็นของคาวนะ ทำง่ายมากๆ ใส่อะไรก็ได้ที่มีในตู้เย็น แต่จะขาดชีสกับแป้งไม่ได้ ส่วนในวันนี้ได้ใส่ Speck ที่มันเป็นเหมือนแฮมหั่นเป็นลูกบาศก์เล็กๆเค็มๆ ใส่ต้นหอม เห็ดแชมปิงยง แครอท ไข่ นม ละก็ชีสโรยหน้า เตยนี่ฟินนนนนนไปดาวอังคารแล้ว อร่อยมากๆ คราวแล้วที่เขาทำ crumble เตยก็ปรอทความสุขทะลุไปทีนึงละ มาทะลุอีกรอบวันนี้๕๕๕ เตยนี่เอ็นจอยอีทติ้งจริงๆ เพราะอย่างนี้เตยต้องออกกำลังกายมากขึ้นค่ะจะได้กินได้เยอะๆ (ไม่ใช่เพราะอยากแข็งแรงไรมากมายนะ ออกกำลังเพื่อกิน๕๕) 

นอกจากนั้น วันนี้เตยยังดู The Martian จนจบ ดูสึกว่าแมท แดมอนหล่อจัง เฮ้อ ๕๕๕ แต่วันก่อนเพิ่งดู Interstellar ไปมันเลยเหมือนเป็นการเปรียบเทียบระหว่างสองเรื่องนี้อย่างชัดเจน คือรู้สึกว่าพล็อต Interstellar ซับซ้อนกว่ามากๆ The Martian จะออกแนวเฮฮากว่าทำให้คนเข้าใจง่ายกว่า ในขณะที่ Interstellar จะต้องเป็นคนที่ชอบวิทย์นิดนึงอย่างเช่นฉากตอนที่พูดถึง Murphey's Law, Newton's Law คือมันก็ได้อธิบายแล้วก็จริงในหนังแต่ถ้ารู้จักหลักการพวกนี้มาก่อนมันก็จะรู้สึกอินมากกว่าอ่ะเนาะ

วันนี้เตยตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแบบว่า ร้าวไปตามกล้ามเนื้อ โดนเฉพาะก้น ปวดก้นมากๆจากการตีแบตมาราธอนเมื่อวานตอนเย็นกับรุ่นพี่และเพื่อนๆที่น่ารักของเรา เตยนี่เต็มที่กะชีวิตมากๆนะ ตีคุ้มมากคุ้มสุด ๕๕๕



ขออัญเชิญท่านพี่มา ณ ที่นี้

สนามนี้เป็นของมหาลัยฮะ ค่าเช่าแค่ 5 ยูโรเองเล่นกันไปสองชั่วโมง (ต่อครั้งนะไม่ใช่ต่อคน ถูกเวอร์ๆ) แต่ไม้กับลูกต้องเอามากันเอง TU Sport Waldschulallee ลงสถานี Messe Süd (S5) แล้วเดินต่ออีกประมาณสิบนาทีก็ถึงฮัฟ เตยรู้สึกดีมากที่ได้ออกกำลังกายแบบเหงื่อเยอะๆสักที คือเดี๋ยวนี้เหงื่อออกยากมากๆไม่รู้เป็นอะไร หรือร่างกายเราจะเบิร์นได้น้อยลง ๕๕๕ เอ๊ะนี่ยังไม่ทันยี่สิบเลยนะ แต่ตอนนี้เตยก็ขุดเอา T25 ของชอน ทีมาเล่นอีกครั้ง วันนี้จะเล่นไหวไหมนะเพราะร่างกายปวดร้าวเหลือเกิน๕๕ สู้ต่อไปเพื่อร่างกายอันตุ้ยนุ้ยของเรา

แต่วันนี้เตยคงไม่ได้ออกบ้านไปไหนละแหละ นี่ก็หกโมงครึ่งละ เวลาผ่านไปไวจริงตอนปิดเทอม วันจันทร์ที่จะถึงนี้ก็เปิดเทอมแล้ว

ฮึบๆ

ไม่รู้จะได้ว่างมาเขียนบล็อคบ่อยๆแบบนี้อีกไหม แต่ก็รู้สึกว่าสนุกดีนะได้บันทึกสิ่งที่ทำมาต่างๆ จะพยายามไม่ลืมแล้วเอามาเขียนน้า

ตอนนี้ต้องกลับไปทำการบ้านต่อละ ชีวิตแห่งความจริงค่อยๆใกล้เข้ามาแล้ว

หรือนอนตากแดดดี มีความสุขเหลือเกินหลังกิน ฮ่าๆ โอ้ยวันนี้ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกิน กะ นอน มีความสุขจริงๆ ฟินน

29 March 2016

29.03.2016 วันอังคาร

เมื่อวานซืนกับเมื่อวานเป็นวันที่ดีมากๆวันหนึ่งเลย เสียดายที่ไม่ได้มาเขียนทันที ไม่เป็นไรเนาะช้าไปวันสองวัน

เมื่อวันอาทิตย์ตอนเย็นเพื่อนๆเมลีสอีกสามคนมากินข้าวที่บ้านเนื่องในวันอีสเตอร์ ฝรั่งเศสหมดเลย๕๕ แต่เขาก็พยายามพูดเยอรมันกันเพื่อที่เตยจะได้คุยด้วยได้ (ปล. ทุกคนพูดเยอเก่งมาก) เตยทำแกงเขียวหวานเป็นอาหารเย็น ส่วนของหวานตบท้ายเมลีสเป็นคนทำ เขาอบ crumble ซึ่งมันอร่อยมากๆๆๆๆ ชอบอ่ะมันเหมือนเค้กแอปเปิ้ลยังไงไม่รู้นะ แต่อร่อยมากๆ ๕๕๕ ติดใจ และอ้วนมาก

อันนี้วิวจากห้องครัว พระอาทิตย์ตกสวยมากๆเห็นฟ้าเป็นชั้นๆเลย ><




วันถัดมา(เมื่อวาน) ก็ได้เจอเพื่อนเมลีสอีก แต่ไม่ใช่คนที่มากินข้าวเมื่อวันจันทร์นะ เมื่อวานไม่ได้ทำอะไรกันมาก แค่ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ Volkspark Friedrichshain แต่รอบนี้เตยได้พูดไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เค้าพูดฝรั่งเศสกัน มันมีอิทธิพลทำให้อยากเรียนภาษานี้ขึ้นมากจริงๆนะ คือแบบฟังเค้าพูดกันแล้วก็ชอบอ่ะ ทำไมเตยถึงไม่เรียนอักษรไปเลยนะเนี้ยชอบภาษาขนาดนี้ ไม่เข้าใจตัวเอง๕๕๕ เมื่อวานแอบฮาเพื่อนเมลีส ทิโบ้ซึ่งมีแฟนเป็นคนเยอรมัน พูดเยอรมันไฟแล่บเชียะ เค้าเล่าให้ฟังว่าเมื่อวันอีสเตอร์เค้าไปกินข้าวกับบ้านแฟน(ทั้งครอบครัว)มา แล้วก็เป็นวันเกิดของแม่แฟนด้วย ไม่อยากเชื่อว่าเค้าจะเคร่งประเพณีมากๆอยู่นะคนเยอรมัน คือทุกคนมายืนถือไฟเย็นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน ร้องเพลงวันเกิด แล้วก็เข้าไปกอดแล้วอวยพรเล็กๆน้อยๆให้แม่ทีละคน เตยฟังละ อือหื๊อ มันยังมีอยู่อีกหรอประเพณีคลาสสิคขนาดนี้ ทิโบ้ก็คาดไม่ถึงเช่นกัน๕๕๕ หลังจากนั้นก็กินข้าวเช้า แล้วก็ไปหาไข่ในสวนกันด้วย เตยแบบ โอ้ยน่ารักอาวาอี้๕๕๕ เขาเล่าว่าครอบครัวเค้าอุตส่าห์ทำถุงใส่ไข่พิเศษมีชื่อ ทิโบ้ ติดอยู่ด้วยนะ เป็นถุงเดียวที่มีชื่อ เค้าภาคภูมิใจมาก อิอิ น่ารักจังคนเยอรมัน ๕๕

ขากลับจากสวนสาธารณะเตยกับเมลีสก็แวะร้าน Frozen Yoghurt Wonderpots ที่ Friedrichstraße อร่อยมากๆ รู้จักจากคราวก่อนที่มากินกับพี่รส คราวที่แล้วลืมถ่ายรูปเพราะหิว แต่คราวนี้เตยไม่พลาดจย้า




อันนี้เป็นแพคเกจ Classic Special 4.50 euros นะจ้ะ จะได้โยเกิร์ตถ้วยกลาง + 3 toppings เลือกได้ตามใจชอบ


ระหว่างกินไปด้วยก็เม้ามอยไปด้วย คือเตยกับเมลีสเป็นคนพูดมากกกกพูดมากกกกมากๆๆๆถึงขั้นสุด พอมาอยู่ด้วยกันทำได้ไงไม่รู้นะคุยกันทีวันนึงหลายชั่วโมง จนเริ่มเจ็บคอ๕๕ ตอนอยู่ที่ร้านก็คุยกันเรื่องเกี่ยวกับผู้อพยพนี่แหละ ว่าที่ฝรั่งเศสเค้าก็มีปัญหาเหมือนกัน นึกภาพว่า ที่เยอรมันมีคนตุรกีอพยพเข้ามาแล้วตั้งรกรากถิ่นฐานที่นี่ต่อมาจนปัจจุบัน ที่ฝรั่งเศสก็มีเช่นกันกับแคว้นหนึ่งของแอฟริกาเหนือ พอเขาเข้ามาแล้วเขาก็เอาวัฒนธรรมเขาเข้ามาด้วย เตยก็ว่ามันก็ปกตินะ แต่เยอรมันเขาใส่ใจดูแลกับเรื่องพวกนี้มากๆ ตุรกีก็เลย adapt ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมที่นี่ได้ดีพอควร (ความคิดเตยนะ) เมลีสบอกว่าฝรั่งเศสไม่ได้เป็นแบบนี้ เขามีปัญหาจริงๆเพราะคนเหล่านี้บางส่วนก็ไม่ยอมทำงาน เตร็ดเตร่ไปเรื่อยเป็นต้น กินเงินคนตกงาน (ทุกคนต้องจ่ายภาษีว่างงานเหมือนในเยอรมันเลย แล้วเงินส่วนนี้ก็จะเอาไปช่วยคนที่ไม่มีงานทำให้พออยู่ได้) เขาก็ถามกลับว่าไทยมีปัญหาแบบนี้บ้างไหม เตยก็นึกๆดู อาจจะคล้ายๆกับแรงงานพม่า กัมพูชาหรือเปล่า? แต่เมืองไทยมันไม่มีเงินให้คนว่างงานเยอะเหมือนยุโรปไง ถ้าไม่ทำงาน ก็ไม่มีเงิน หลักการง่ายๆเลย อีกอย่างคนเอเชียก็วัฒนธรรมไม่รุนแรงเกินไปด้วย เราก็วัฒนธรรมคล้ายๆกันปรับตัวเข้าหากันง่ายกว่า ปัญหาคงไม่เยอะเท่าที่นี่

หลังจากกลับมาบ้าน เราก็ดูหนัง (สตรีมนะคะ เป็นนักเรียนจนๆไ่ม่มีเงินเข้าโรงหนังกันบ่อย๕๕๕) Interstellar เพราะเมลีสไม่เคยดู นี่ก็เป็นรอบที่สี่ของเตยแล้วล่ะ แต่หนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่ที่สุดของที่สุดแล้วจริงๆ เตยชอบ Christopher Nolan มากกกกๆๆๆๆ คือแบบ ทำได้ไงงง ชอบตั้งแต่ Inception แล้ว ปลื้มมากกก 


คูปเปอร์จ๋าเท่สุดๆ

ความจริคือขนมเหลือจากวันอาทิตย์ที่กินข้าวกัน๕๕ เลยเอามากำจัด เตยกลัวว่าเมลีสจะไม่ชอบหนังแนววิทยาศาสตร์เล็กๆ เพราะเขาเรียนบริหาร แต่เค้าก็ชอบน้า เตยดีใจมากๆที่ได้เผยแพร่ความชอบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อิอิ รู้สึกดีที่เราเข้ากันได้ดี จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็โอเคนะเตยว่า มันไม่ได้ซับซ้อน เพราะเราก็พูดกันตรงๆ ว่างก็คือว่าง

หลังจากหนังจบ เราดันคุยเตลิดกันไปถึงเรื่องจิตวิทยา เล่าเรื่องการฝัน อะไรแบบนี้ จิตใต้สำนึก เตยก็เล่าให้ฟังว่าเตยฝันอะไรซ้ำๆอยู่บ้าง แล้วเตยว่ามันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เมลีสว่ามันต้องมีสิ มันมาจากจิตใต้สำนึก เตยก็เอิ้ม คือมันเป็นฝันว่าเตยขับรถกระบะแล้วไปชนต้นกระท้อนที่บ้าน (แต่ก่อนเคยฝันบ่อย แต่ตอนนี้ไม่ได้ฝันแล้วตั้งแต่ต้นกระท้อนโดนตัด) เตยเป็นคนขับ เห็นแสงไฟหน้าสาดใส่ลำต้นกระท้อนชัดมากๆ ชนแล้วฝันก็ตัดไป มันไม่ได้มีความหมายอะไรมั้ง แต่เคยฝันแบบนี้บ่อยจนจำได้น่ะ เลยรู้สึกงงๆ อีกอย่างที่รู้สึกแปลกๆคือความทรงจำแรกของเตยเองในชีวิต เตยจำได้ว่าเตยเห็นกางเกงสีส้มลายข้าวหลามตัดตัวโปรดของเตย แบบเห็นขาจากข้างหลังแล้วก็ลุกเดินไปงี้ ตอนเด็กๆก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ เพราะก็ไม่เห็นแปลกอะไรกางเกงสีส้ม แต่พอโตหน่อยก็คิดว่า

เฮ้ย
แล้วเราจะเห็นตัวเองจากด้านหลังได้ไงวะ...

เท่านั้นแหละครับ แปลกเลย

เมลีสก็บอก เออแปลกจริง แต่เอาจริงๆนะ ทุกคนมันก็ไม่มีใครปกติหรอก เราแค่ต้องหาคนที่ป่วยจิตพอๆกับเรา เราถึงจะอยู่ด้วยกันได้ ไม่ต้องคิดว่าตัวเองแปลกหรอกเธอ แบบนี้ เตยก็โอเค งั้นเรามาป่วยด้วยกันเถอะ๕๕๕

ส่วนวันนี้ มาราธอนมากๆ นอนดึกตื่นเช้า เพราะเตยมาส่งน้องจินนี่กับพิมมาลงทะเบียนที่อำเภอ รอกันตั้งแต่แปดโมง อำเภอเดียวกับที่เตยไปลงทะเบียนนั่นแหละ พอประมาณเก้าโมงครึ่งดันเกิดเหตุการณ์อลังการขึ้น คือมีผู้ชายคนหนึ่งเขามาบอกว่า เรามาต่อแถวกันเถอะ จินนี่กับพิมมาเป็นคนแรก ให้มายืนตรงนี้เลยๆจะได้คิวชัดเจน ไอ่เราก็เออๆก็ธรรมดา คราวแล้วก็ต่อคิวกันเงี้ยแหละ แต่ดั๊นมีมนุษย์ป้าสองคนที่ยืนจ่อหน้าประตูนางไม่ยอมค่า แถมยังเถียงอีกว่าก็ฉันแค่จะยืนอยู่ตรงนี้เฉยๆจะทำไม ไม่ได้ตั้งใจจะแซงคิวหรอกนะ ฉันแค่ยืนพิงประตูเฉยๆ (ไม่ได้อยากแซงเล้ย ไม่เลยยยยย) อีกอย่างธุระของฉันน่ะแป๊ปเดียว ไม่นาน ผู้ชายคนนี้ก็บอกว่ามันไม่เห็นเกี่ยวว่าธุระใครจะนานไหม แต่คนมาก่อนก็ต้องได้ทำก่อนสิ เราก็รอมาสองชั่วโมงเหมือนๆกันนะทุกคนที่นี่ มนุษย์ป้าก็แถบอกว่า ละทำไมเธอต้องมาปกป้องแทนสองคนนี้(พิมกับจินนี่)ด้วยล่ะ สองคนนี้ทำไมไม่พูดเอง เตยนี่อยากเดินไปโบก บอกว่าอะไรนะพูดอีกทีซิ (ความจริงเถียงกันดังและนานมาก อยู่ๆลากมาประเด็นเหยียดชาติได้ไงไม่รู้ แร็พเยอรมันเลยทีเดียว) แต่ผู้ชายคนนี้ขึ้นไปแล้วครับว่า มันไม่เห็นเกี่ยวว่าเขาจะพูดไหม ทำไม เห็นคนต่างชาติเป็นพลเมืองชั้นสองหรอ ชาวต่างต่างชาติจะยืนรอแต่คนเยอไม่ต้องงั้นซิ ฉันเบื่อมากแล้วนะกับเรื่องแบบนี้ ฯลฯ เถียงกันนานยาวเหยียด เตยตกใจเลย เพราะมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆแค่ยืนต่อคิวเองป้า มันสากลนะ กลายเป็นเรื่องใหญ่เฉย theater สุดๆ สุดท้ายอำเภอออกมาบอกว่า เราให้คนที่ไม่ได้นัดหมายไว้ก่อนทำธุระไม่ได้ วันนี้คิวเต็มจริงๆ แห้วทุกคนที่มายืนรอ 
เตยก็อื้ม ไม่ทะเลาะกันน้าทุกคน ใจร่มๆ 
เอฟรี่ติงส์กอนนาบีออลไรท์

27 March 2016

Motrip - Sowie Du Bist


นักร้องมองแรงมว๊าก


โอ๊ยยย เพลงนี้เป็นเพลงท็อปเพลย์ลิสต์ของเตยเลยนะ แต่มันแร็พเร็วเกินไป ยังร้องไม่ได้ ๕๕๕ ขอซุ่มฝึกแร็พแปร่บ เพลงอะไรเซ็กซี๊เซ็กซี่ เอาใจไปเลยจุ้ฟๆ

ศิลปิน Motrip
เพลง Sowie Du Bist (อย่างที่เธอเป็น)

Ich bin so, wie ich bin, Gott sei Dank hast du nie kapituliert
ฉันก็เป็นฉันอย่างนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่เธอไม่เคยยอมแพ้กับฉัน
Denn als du mich mit nach Hause gebracht hast

เพราะตอนที่เธอพาฉันไปที่บ้านครั้งแรก
Waren Mama und Papa schockiert

พ่อกับแม่ของเธอตกใจมาก
Ich hab dein' Hund Gassi geführt

ฉันจะยอมดูแลหมาของเธอ
Und gerne das mit der Krawatte probiert

และยินดีที่จะใส่เน็คไทดู
Und dennoch waren sie der Meinung

แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังคิดว่า
Ich wär' nur ein Asi, der gern mal die Fassung verliert

ฉันมันก็แค่นักเลงที่ซ่อนตัวตนไว้
Die anderen fragten dich: "Passt er zu dir?

คนอื่นๆก็ถามเธอว่า "แฟนเธอเหมาะกับเธอหรอ?
Kann er sich überhaupt artikulieren? "

เขามีหัวพอจะถ่ายทอดความคิดได้ไหมน่ะ?"
Um mich über Wasser zu halten, hab ich diese Leute im Taxi kutschiert

เพื่อจะอยู่รอดต่อไป ฉันต้องขับแท็กซี่ให้คนพวกนี้นั่ง
Ich hab vieles versucht - Mappen kopiert, Akten sortiert

ฉันพยายามทำหลายอย่าง ถ่ายเอกสาร เรียงเอกสารต่างๆ
Auch wenn es nicht zu meinen Aufgaben zählte, hab ich meinem Chef sogar Kaffee serviert

ฉันชงกาแฟให้เจ้านายถึงแม้มันจะไม่ใช่งานฉันก็ตาม
Praktikum da, Praktikum hier

ฝึกงานที่นู่นบ้าง ที่นี่บ้าง
Nur leider hab ich mich bis heut nicht immatrikuliert und dann Mathe studiert

ติดแค่เพียงว่าฉันไม่ได้เรียนมหา'ลัยและเรียนคณิตศาสตร์
Damit ich Dir besser gefalle, Schatz, hätte ich alles probiert

ที่รัก ถ้ามันถูกใจเธอมากขึ้น ฉันจะลองทำทุกอย่าง
Sie sagte zu mir:

เธอพูดกับฉันว่า

Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไปเถอะ และเป็นตัวของตัวเอง
So wie du bist - so wie du bist

อย่างนี่เธอเป็นนี่แหละ
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
Ich mag dich so wie du bist - ich brauch dich so wie du bist

ฉันชอบที่เธอเป็นเธอแบบนี้ ฉันต้องการเธออย่างที่เธอเป็น
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
So wie du bist - so wie du bist

อย่างที่เธอเป็น
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
Ich mag dich so wie du bist - ich brauch dich so wie du bist

ฉันชอบที่เธอเป็นเธอแบบนี้ ฉันต้องการเธออย่างที่เธอเป็น
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง

Du bist so wie du bist, die Liebe, sie liegt wohl in deiner Natur

เธอก็เป็นของเธอแบบนี้ ความรักมันอยู่ในตัวของเธออยู่แล้ว
Genug von den Normen, fast jeder versucht dich zu formen schon seit der Geburt

เบื่อแล้วกับพวกค่านิยม เกือบทุกคนพยายามตั้งกรอบเธอตั้งแต่เกิด
Business und Kohle - Fitness und Mode, sind nur ein Teil der Tortur

ธุรกิจกับเงิน ฟิตเนสกับแฟชั่น --พวกนั้นมันก็แค่ส่วนหนึ่งของความทรงจำแย่ๆ
Bleib wie du bist denn für mich ist deine Erscheinung Bereicherung pur

เป็นตัวของตัวเองนี่แหละ เพราะสำหรับฉันเธอคือของขวัญสำหรับฉันแล้ว
Und bleiben sie stur, lass dir nichts sagen, denn deine Figur

พวกเขาไม่เปลี่ยนความคิดหรอก เธออย่าไปฟังคำคนอื่น เพราะร่างกายของเธอนั้น
Ist mehr als perfekt und deine Frisur, braucht keinerlei Kur - ich meine ja nur

มันยิ่งกว่าสมบูรณ์แบบ และทรงผมของเธอก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว -ความคิดของฉันนะ
Ich komme aus nem anderen Land - passt das zusammen mit deiner Kultur?

ฉันมาจากประเทศอื่น - จะเข้ากับบ้าน(วัฒนธรรม)เธอได้ไหม?
Am Anfang war keiner so wirklich begeistert als sie von uns beiden erfuhren

ในตอนแรกๆไม่มีใครยินดีเท่าไหร่นักตอนที่รู้ว่าเราคบกัน
Vergiss mal den Zeiger der Uhren, bleib lieber in deiner eigenen Spur

ลองลืมเวลาไปสักครั้ง แล้วเดินตามทางของเธอต่อไป
Du hast begriffen ich bleibe, drum lässt du mich guten Gewissens alleine auf Tour

เธอเข้าใจว่าฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอ เพราะอย่างนั้นเธอเลยปล่อยให้ฉันไปทัวร์เพียงลำพัง
Ich leiste den Schwur, Seite an Seite mit dir

ฉันขอสาบาน ว่าจะอยู่ข้างๆเธอ
Ich meinte zu ihr:

ฉันบอกกับเธอว่า

Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
So wie du bist - so wie du bist

อย่างที่เธอเป็น อย่างที่เธอเป็นนี่แหละ
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
Ich mag dich so wie du bist - ich brauch dich so wie du bist

ฉันชอบที่เธอเป็นเธอแบบนี้ ฉันต้องการเธออย่างที่เธอเป็น
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
So wie du bist - so wie du bist

อย่างที่เธอเป็น อย่างที่เธอเป็นนี่แหละ
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
Ich mag dich so wie du bist - ich brauch dich so wie du bist

ฉันชอบที่เธอเป็นเธอแบบนี้ ฉันต้องการเธออย่างที่เธอเป็น
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง

So wie du bist da steigt Staub auf (Staub auf)

อย่างที่เธอเป็นทำให้ฝุ่นคลุ้งขึ้นมาทุกก้าว
Ich glaub mit dir kann ich Luftschlösser aufbauen (aufbauen)

ฉันเชื่อนะว่า กับเธอฉันสามารถสร้างปราสาทในอากาศได้
Du kennst meine Fehler und alle Details

เธอรู้ข้อเสียของฉันและรายละเอียดอื่นๆ
Auch wenn ich nichts sage, weißt du Bescheid

ถึงแม้ฉันจะไม่ได้พูดมันออกมา เธอก็รู้ทันที
Ich will nur, dass du nicht vergisst:

ฉันต้องการแค่เธอจะไม่ลืม ว่า

Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
So wie du bist - so wie du bist

อย่างที่เธอเป็น อย่างที่เธอเป็นนี่แหละ
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
Ich mag dich so wie du bist - ich brauch dich so wie du bist

ฉันชอบที่เธอเป็นเธอแบบนี้ ฉันต้องการเธออย่างที่เธอเป็น
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
So wie du bist - so wie du bist

อย่างที่เธอเป็น อย่างที่เธอเป็นนี่แหละ
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง
Ich mag dich so wie du bist - ich brauch dich so wie du bist

ฉันชอบที่เธอเป็นเธอแบบนี้ ฉันต้องการเธออย่างที่เธอเป็น
Lass die andern sich verändern und bleib so wie du bist

ปล่อยให้คนอื่นเปลี่ยนไป และเป็นตัวของเธอเอง

Namika - Lieblingsmensch


ศิลปิน Namika
เพลง Lieblingsmensch (คนโปรด)

ทำไมพอแปลชื่อแล้วดันดูลิเกๆขึ้นมากะทันหัน๕๕๕ ขออภัยนะคะถ้ามันลิเกหรือมีคำวัยรุ่นไปบ้าง ก็ขออภัยล่วงหน้านะคะ มือใหม่หัดแปล

Manchmal fühl ich mich hier falsch,
บางครั้งฉันรู้สึกเคว้งคว้าง
wie ein Segelschiff im All.
เหมือนเรือหลงทางกลางทะเล
Aber bist du mit mir an Bord,
แต่ถ้าเธออยู่ตรงนั้นกับฉัน
bin ich gerne durchgeknallt.
ฉันก็ยินดีที่จะบ้าไปด้วยกัน
Selbst der Stau auf der A2,
ขนาดรถติดบนทางด่วน A2 (A2 เป็นชื่อสายทางด่วน Autobahn ในเยอรมันค่ะ)
ist mit dir blitzschnell vorbei.
ยังรู้สึกเหมือนแค่แว้บเดียวเมื่ออยู่กับเธอ
Und die Plörre von der Tanke,
หรือแม้แต่เครื่องดื่มกากๆที่ซื้อจากปั๊มน้ำมัน
schmeckt wie Kaffee auf Hawaii. (yeah)
ยังรสชาติเหมือนกาแฟจากฮาวาย (เย่ห์)

Auch wenn ich schweig', du weißt bescheid.
ถึงแม้ฉันจะไม่ได้พูดออกมา เธอก็ยังรู้ได้
Ich brauch gar nichts sagen, ein Blick reicht.
ฉันไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเลย แค่มองตาก็พอแล้ว
Und wird uns der Alltag hier zu grau,
วันไหนที่ชีวิตมันเริ่มน่าเบื่อเกินไป
pack' ich dich ein, wir sind dann mal raus!
เราออกไปเที่ยวด้วยกันเต๊อะ

Hallo Lieblingsmensch!
ฮัลโหลว คนโปรดของฉัน!
Ein Riesenkompliment, dafür dass du mich so gut kennst.
เป็นคำชมสำหรับการที่เธอรู้จักฉันดี
Bei dir kann ich ich sein,
กับเธอฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
verträumt und verrückt sein
จะเพ้อ หรือจะบ้าๆบอๆก็ได้
na na na na na na - Danke Lieblingsmensch!
น้านาน้านาน้านานานา ขอบคุณนะคนโปรดของฉัน!
Schön, dass wir uns kennen.
ดีจังที่เรารู้จักกัน


Hallo Lieblingsmensch!
ฮัลโหลว คนโปรดของฉัน!
Ein Riesenkompliment, dafür dass du mich so gut kennst.
เป็นคำชมสำหรับการที่เธอรู้จักฉันดี
Bei dir kann ich ich sein,
กับเธอฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
verträumt und verrückt sein
จะเพ้อ หรือจะบ้าๆบอๆก็ได้
na na na na na na - Danke Lieblingsmensch!
น้านาน้านาน้านานานา ขอบคุณนะคนโปรดของฉัน!
Schön, dass wir uns kennen.
ดีจังที่เรารู้จักกัน

Absolut niemand darf's erfahren,
บางอย่างคนอื่นนี่ห้ามรู้เลยนะ
aber dir vertrau ich's an,
แต่ฉันน่ะเชื่อใจเธอ
weil du's sicher aufbewahrst:
เพราะเธอจะเก็บความลับไว้ได้
Meine Area 51.
Area 51 ของฉัน (Area 51 เป็นชื่อเขตหวงห้ามของกองทัพสหรัฐค่ะ รายละเอียดคลิกเลย)
Und manchmal drehen wir uns im Kreis,
บางทีเราก็เดินขัดขากันบ้าง
aus 'ner Kleinigkeit wird Streit,
เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ทะเลาะกันละ
aber mehr als 5 Minuten,
แต่ไม่เกิน 5 นาที
kann ich dir nicht böse sein. (yeah)
ฉันก็หายโกรธเธอแล้วล่ะ (เย่ห์)

Mach ich dir was vor, fällt's dir sofort auf.
ถ้าฉันพยายามปิดบังอะไร เธอก็รู้ทันที
Lass ich mich hängen, dann baust du mich auf.
เมื่อไหร่ที่ฉันยืนเคว้งอยู่ เธอก็ช่วยดึงฉันกลับมา
Manchmal wiegt der Alltag schwer wie Blei,
บางวันก็หนักและเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
doch sind wir zu zweit, scheint alles so leicht.
แต่เมื่อเราอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างก็ดูไม่ยากเกินไป


Hallo Lieblingsmensch!
ฮัลโหลว คนโปรดของฉัน!
Ein Riesenkompliment, dafür dass du mich so gut kennst.
เป็นคำชมสำหรับการที่เธอรู้จักฉันดี
Bei dir kann ich ich sein,
กับเธอฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
verträumt und verrückt sein
จะเพ้อ หรือจะบ้าๆบอๆก็ได้
na na na na na na - Danke Lieblingsmensch!
น้านาน้านาน้านานานา ขอบคุณนะคนโปรดของฉัน!
Schön, dass wir uns kennen.
ดีจังที่เรารู้จักกัน

Zeiten ändern sich und wir uns gleich mit.
เวลาได้เปลี่ยนไป เราสองคนก็เช่นกัน
Du und ich, so jung auf diesem alten Polaroid Bild.
เธอกับฉัน ดูอ่อนเยาว์เหลือเกินในรูปโพลารอยด์เก่าๆนี้
Das letzte Mal als wir uns sahen, ist viel zu lang her,
มันนานมากแล้วนะ ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน
doch jetzt lachen wir, als wenn du nie weggewesen wärst.
แต่ตอนนี้เราหัวเราะด้วยกันราวกับว่าเธอไม่เคยจากไปเลย
Hallo Lieblingsmensch!
ฮัลโหลว คนโปรดของฉัน!
Ein Riesenkompliment, dafür dass du mich so gut kennst.
เป็นคำชมสำหรับการที่เธอรู้จักฉันดี
Bei dir kann ich ich sein,
กับเธอฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
verträumt und verrückt sein
จะเพ้อ หรือจะบ้าๆบอๆก็ได้
na na na na na na - Danke Lieblingsmensch!
น้านาน้านาน้านานานา ขอบคุณนะคนโปรดของฉัน!
Schön, dass wir uns kennen.
ดีจังที่เรารู้จักกัน
(2x)

26 March 2016

25.03.2016 วันศุกร์ - Karfreitag

แถม ให้ฟังเพลงเพราะๆไปด้วยตอนอ่านนะ :-)



เมื่อวาน หลังจากกลับมาจากบ้านจินนี่แล้วเตยก็ได้อ่านบทความจากเพจ My Modern Met (บทความเต็มสามารถอ่านได้ ที่นี่) ซึ่งเป็นเกี่ยวกับช่างภาพชาวฮาวาย (ไดอาน่า คิม) ที่กำลังทำโปรเจ็ค The Homeless Paradise กลับบังเอิญไปเจอพ่อแท้ๆของเธอเป็น homeless อยู่บนถนน เตยอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกทั้งเศร้าและดีใจปนไป ถึงแม้จะโดนพ่อกับแม่ทิ้ง มีชีวิตในวัยเด็กที่ลำบาก แต่ไดอาน่าก็ไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจใยดีพ่อได้ 

ตัวพ่อเขาเองก็เข้าใจดี 

เตยรู้สึก touch ตอนที่พ่อบอกว่า "Diana, I am so sorry for not being in your life. I am so happy that you have a family of your own now. Do better for them. Don't worry about me or what everyone says about me. If you want to make me proud and happy, be there for your family the way your mom and I never were. Stop trying to save everyone...just worry about yourself and your family. And don't forget why I named you Diana, you are the light within the darkness."

"ไดอาน่า พ่อขอโทษที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกเลย พ่อดีใจที่ลูกมีครอบครัวของตัวเองแล้ว ทำดีกับพวกเขาให้มากๆ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพ่อหรือกังวลว่าคนอื่นจะพูดถึงพ่อยังไง ถ้าลูกอยากจะทำให้พ่อภูมิใจและมีความสุข อยู่ตรงนั้นเพื่อครอบครัวของลูกแบบที่พ่อกับแม่ไม่เคยทำ หยุดพยายามจะช่วยเหลือทุกคนเถอะ ห่วงแค่ตัวเองกับครอบครัวก็พอแล้ว และอย่าลืมเหตุผลว่าทำไมพ่อถึงตั้งชื่อลูกว่าไดอาน่า เพราะลูกคือแสงสว่างท่ามกลางความมืด"

เตยแบบ โห ถ้าเราเป็นไดอาน่าจะรู้สึกยังไง เราจะโกรธหรือเปล่าที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่จำความได้ ต้องยืนบนลำแข้งตัวเองตลอด 

...นั่นจะทำให้พ่อแท้ๆเรากลายเป็นแค่คนแปลกหน้าไหมนะ? 

แล้วสายเลือด มันมีความสำคัญมากขนาดไหน? แค่ว่ามีสายเลือดเดียวกัน จะทำให้เกิดความรักขึ้นโดยอัตโนมัติไหม? 

ถ้าไม่ ตอนเราเกิด พ่อกับแม่ยังไม่เคยรู้จักเราเลยเขายังรักเรา แล้วทำไมเราถึงจะรักพ่อกับแม่โดยอัตโนมัติบ้างไม่ได้?

พอเตยอ่านบทความมาถึงตอนที่ไดอาน่ารู้สึกโกรธที่มีคนมาบอกเธอว่าอย่าไปสนใจเขาเลย เขาอยู่ตรงนี้มาเป็นอาทิตย์ๆแล้ว เธอโกรธ ที่คนอื่นทำไมถึงไม่สนใจใยดีเขาบ้าง เธออยากจะกรีดร้องออกไปบอกว่า "นี่คือพ่อฉันนะ" แต่ก็ทำไม่ได้ 

เตยเข้าใจไปในเชิงที่ว่า แล้วสำหรับคนไร้บ้านคนอื่นๆล่ะ คนทั่วไปเราก็ไม่ได้สนใจใยดีจริงๆหรอก ถ้าคนคนนี้ ไม่ใช่พ่อของเราเอง ชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตเราเลย ความสองมาตรฐานนี้ เกิดจากสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์สินะ 

ขอโทษนะที่ฟังดูอคติเกินไป คงจะไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนี้หรอก แต่แค่สำรวจจากคนรอบๆข้าง หรือแม้แต่ตัวเองก็ใช่ เตยยอมรับ ว่าเตยคิดแบบนั้น เตยไม่ได้ใส่ใจอย่างจริงจังหรอก impact ของพวกเขามีต่อชีวิตเตยก็จริง แต่มันกลายเป็นแรงผลัก เตือนสติว่าเราต้องทำหน้าที่ ใช้ชีวิตให้ดี เราไม่ได้อยากจะไปอยู่ในจุดๆนั้น เราไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เตยไม่รู้ว่าการเป็นคนไร้บ้านมีอิสระมีจุดดีแบบไหนบ้าง (ทุกอย่างบนโลกนี้ก็มีทั้งดีและเสียล่ะนะ) แต่เตยรู้ว่ามันคงไม่ดีกับเตยแน่ๆ

ปล. อีกประโยคที่เตยชอบมากๆ คืออ่านแล้วรู้สึกว่ามันซึมเข้าไปข้างใน คือประโยคนี้ของไดอาน่า

"There is no failure unless you give up, and he never gave up. And I haven't given up on him.""มันไม่มีหรอกความล้มเหลว ยกเว้นแต่ว่าเธอจะยอมแพ้ และเขาไม่ได้ยอมแพ้ และฉันก็ไม่ได้ยอมแพ้ที่จะช่วยเขา"


(อาจจะปรับเปลี่ยนความหมายตามบริบทบ้างเล็กน้อยนะคะ มือใหม่หัดแปล๕๕๕)



----------


สุขสันต์วันอีสเตอร์นะคะ



กระต่ายช็อกโกแลตได้จากหมอที่ตรวจคอนแทคเลนส์ให้ หมอน่าร๊ากกกกมากๆ >_<


25 March 2016

24.03.2016 วันพฤหัสบดี

สวัสดีตอนบ่ายค่ะ

ช่วงนี้เตยปิดเทอมอีสเตอร์แล้ว (ปิดสองอาทิตย์) แต่ดันมีเรื่องต่างๆให้จัดการมากมาย ไม่อยากเชื่อว่าเตยจะผ่านพ้นสองสามวันนี้มาได้เลย ๕๕๕ รู้สึกดีใจมากถึงแม้ว่าปัญหามันจะยังจัดการไม่เสร็จ 100% ก็ตาม เรื่องมันมีอยู่ว่า...

ทุกๆคนที่ลงทะเบียนที่อยู่ (ทะเบียนบ้านของประเทศเยอรมนี) ทั้งชาวเยอรมันและชาวต่างชาติ จะต้องจ่ายค่า Rundfunksbeitrag ซึ่งเจ้าเงินส่วนนี้เป็นการจ่ายสำหรับสื่อมีเดียต่างๆทั้งหมด โทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ หนึ่งห้องพัก (อพาร์ทเมนต์) ต้องจ่าย 17.50 ยูโรต่อเดือน (หนึ่งบ้านไม่ใช่หนึ่งคนนะ บ้านนึงจ่ายแค่คนเดียว) เตยนั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น (ปล. ข้อยกเว้นได้แก่ บุคคลทุพพลภาพและคนที่ได้รับเงินจากรัฐ เช่น Bafög เงินสำหรับนักศึกษา เป็นต้น) ได้รับจดหมายทวงเงินมาสดๆร้อนๆเมื่อประมาณอาทิตย์ก่อน เราเลยรีบเสิร์ชชื่อดูรายละเอียดในเว็บนี้ http://www.rundfunkbeitrag.de/ รัฐบาลเขาได้ตอบใน FAQ มาเสร็จสรรพอย่างน่ารัก ว่าถึงแม้จะไม่มีอุปกรณ์อย่างทีวีหรือวิทยุใดๆเลยก็ตาม แต่ถ้าคุณมีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตแล้วก็มีค่าเท่ากัน

ตึง

ผมนี่เงิบไปเลยสิ เพราะค่าเน็ตเราก็จ่าย แล้วยังต้องมาจ่ายค่ามีเดียนี่อีก ได้แต่ทอดถอนใจ เนื่องจากว่าเตยเคยย้ายบ้านมาสองครั้งตั้งแต่มาอยู่เบอร์ลิน เตยเลยต้องตามเอาหมายเลขการจ่ายของเจ้าของบ้านเก่า และชี้แจงหมายเลขของบ้านใหม่ เป็นต้น โทรศัพท์คุยกับเจ้าหน้าที่คนเยอรมันแล้ว ใจตุ๊มๆต่อมๆ เพราะคุยโทรศัพท์ทีไรต๊กกะใจทุกที ฮ่าๆ แต่เจ้าหน้าที่เค้าก็น่ารัก บอกว่าไม่เป็นไร ทำเอกสารส่งอันนี้มานะๆ เตยก็โอเค รู้สึกดีมีความสุข แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ก่อนหน้านี้เตยต้องถามเจ้าของบ้าน ตามเอาสัญญาบ้านเพื่อจะเอาไปลงทะเบียนบ้านได้

พอได้สัญญาปุ้ป วันนี้ตอนเช้าแปดโมงก็วิ่งหน้าตั้งไปอำเภอเพื่อรออำเภอเปิด(สิบโมง) เตยไปในสภาพแบบ woke-up-like-this ตอนแรกก็รู้สึกอายแค่นิดเดียว แต่กลายเป็นว่า ดันไปนั่งคุยติดลมกับผู้หญิงเยอรมันคนนึงที่มาต่อคิวลงทะเบียนเหมือนกัน เตยนี่เริ่มอายจริงจังละ เพราะผมยังไม่ได้สระ =_= ระยะเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เราได้คุยกันเล่าไปสักครึ่งชีวิตได้ ๕๕๕ ผู้หญิงเป็นเพศที่เม้าท์มอยได้ทุกสถานการณ์จริงๆค่ะ เขาชื่ออารีอาน่า ชื่อเพราะจัง อารีอาน่าทำงานแล้วล่ะ (เรียกซะเหมือนเพื่อน๕๕) เค้าดูตกใจมากที่เราอายุสิบเก้าแล้วมาอยู่คนเดียวที่เมืองนอกได้ไง จะบอกว่า อืม เตยก็ไม่รู้เหมือนกัน =_= เวลาเจอปัญหาหลายๆอย่าง เตยก็นั่งทำหน้าเอ๋อๆไปสักพักบ้าง ค่อยๆทำไปทีละอย่างสองอย่าง สุดท้ายแล้วมันก็เสร็จ ไม่ช้าก็เร็ว โชคดีที่แพะคอยบอกให้เตยไปเคลียร์ปัญหาเร็วๆเตยเลยกระเตื้องไปทำนู่นทำนี่เร็วขึ้น และมีความกล้ามากขึ้นด้วยที่จะชนกับปัญหามันไปเลย วันที่เตยชนความกลัว ความไม่กล้าทุกอย่างแล้วผลออกมา เฮ้ย มันดีกว่าที่กลัวไว้เยอะเลยว่ะ เราพยายามมองโลกในแง่ดีไว้ แล้วมันก็ดีจริงๆ เตยขอบคุณพ่อกับแม่ที่คอยสนับสนุนมาตลอดจริงๆ ทุกๆอย่างที่ผ่านมาจะทำให้เราเติบโตขึ้น เตยยังไม่ลืมประโยคนี้ และจะพยายามเรียนรู้ต่อไปนะคะ

ที่เตยพูดถึงความกลัว ความไม่กล้า ความกังวลต่างๆเวลาต้อง deal กับธุระที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย เพราะเราไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน ไม่เคยต้องสัมผัสกฎหมายกับตัวจังๆเลยที่ไทย ทุกอย่างดูไกลตัวไปหมด แต่พอมาอยู่ที่นี่ลำพัง ก็ต้องเจอและจัดการมันเอง เตยรู้สึกว่าโชคดีมากที่ยังมีพี่ๆ สนร. ที่คอยให้คำปรึกษาเตยได้ในทุกๆเรื่อง ถึงจะไม่ใช่ว่าเขาจะจัดการทุกอย่างให้เรา แต่เขาก็ช่วยชี้ทางไปในทางที่ถูกต้อง แล้วเตยก็ยินดีที่จะจัดการมันด้วย ถ้าเรามีแต่คนจัดการให้ทุกอย่าง เมื่อไหร่จะโตล่ะ?

กลับมาที่บทสนทนากับอารีอาน่า เตยบอกว่า ไม่ใช่แค่เตยคนเดียวหรอก เพื่อนๆเตยที่ Studienkolleg ก็อายุประมาณเตย ต้องมาอยู่คนเดียวที่นี่ มันเป็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดจริงๆ อารีอาน่าบอกว่า เมื่อปีที่แล้วเขาไปอยู่อเมริกามา ๙ เดือนรู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก กับการต้องอยู่คนเดียวโดดๆไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนรอบข้าง คงเพราะเค้าเคยผ่านตรงนั้นมา เค้าเลยรู้ความรู้สึกนั้นดี culture shock เค้าก็ผ่านมาแล้ว อีกประเด็นที่เราคุยกันคือเกี่ยวกับนิสัยชาวอเมริกัน อารีอาน่าเล่าให้ฟัง ว่าคนที่นั่นเค้าถือว่าประโยค Hey, how are you? มีความหมายเท่ากับการทักทายสวัสดีเฉยๆเท่านั้น ไม่ได้หมายความอย่างงั้นจริงๆ ตอนแรกก็เอาละสิครับอารีอาน่าจัดเต็ม บางวันเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีก็พูดไปตรงๆ เล่านู่นนี่ว่าเกิดไรขึ้น หันมาอีกที อ่าวคนถามไม่ได้ฟังเดินผ่านไปนู่นละ โอ้ยเตยละเศร้าแทนเลย คือคนเยอรมันเขาก็คิดว่าประโยคนี้ มันคือการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอย่างแท้จริง มันคือการใส่ใจคนๆหนึ่งจริงๆ อีกเรื่องที่เขาเฮิร์ตมาก คือการชวนไปดื่มกาแฟ ชาวมะกันคนนึงเขาก็ชวนแบบ เฮ้ไปดื่มกาแฟกันพรุ่งนี้ คนเยอรมันก็จัดละครับตามนิสัยเขา เขียนลงในปฏิทินไว้เลยว่านัดดื่มกาแฟกับคนนี้ กลายเป็นว่าคนนัดไม่มาครับ เตยแบบ อ้ออ๊อย เตยเข้าใจดีมากๆว่าทำไมอารีอาน่าถึงทำแบบนั้น เพราะเตยก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน คือคนเยอรมันยึดคำพูดว่ามันสำคัญ และหมายความเช่นนั้นจริงๆ เราไม่พูดอะไรพล่อยๆ หรือถึงจะพูดตามมารยาทจริงๆอย่างน้อยก็ควรรักษาคำพูดแล้วไปตามนัด ไม่ใช่หายไปเฉยๆแบบนั้น ถึงจุดๆหนึ่ง อารีอาน่าเลยบอกว่าเขาตั้งกฎกับเพื่อนไว้เลย ว่า
1. เวลาฉันถามว่าสบายดีไหม ต้องตอบตามความจริง ไม่ใช่บอกว่า I'm fine 365 วัน มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนเราจะแฮปปี้ตลอดปีตลอดชาติแบบนั้น
2. เวลานัดไปไหน ต้องมาตรงเวลา <<สุดยอด German stereotype ๕๕๕
และอีกอย่างนึงแต่จำไม่ได้แล้ว ผลลัพธ์กลายเป็นว่าคนอเมริกันก็บอกว่า เออ ก็ดีเหมือนกันนะที่เราได้บอกตลอดว่าจริงๆเราสบายดีไหม เตยคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าคนเมกาจะ keep distance หรือมี private zone ที่กว้างขนาดนี้

หลังจากที่เราคุยกันไปกันมา ก็มีหนุ่มชาวอินเดียคนนึงมาถามเกี่ยวกับเอกสารการย้ายบ้าน เราสองคนเลยต้องสลับภาษากลับมาพูดอังกฤษทั้งคู่เพราะหนุ่มอินเดียสปี๊กเยอรมันบ่ได้ เราช่วยเขาที่สุดของที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอได้ช่วยอะไรบ้างเตยก็ปริ่มใจ รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง พอเตยจะออกจากอำเภอ เลยแลกเบอร์กะอารีอาน่าไว้ เผื่อจะนัดไปกินเบียร์อะไรทำนองนั้นกันวันหลัง :D

เมื่อคืนนี้เตยก็ออกไปในเมืองกับรูมเมทเมลีสจากฝรั่งเศสผู้น่ารักของเตย กับเพื่อนฝรั่งเศสอีกสองคน กลายเป็นฝรั่งเศสสาม ไทยหนึ่ง ตอนแรกเตยกำลังปวดเฮ้ดเลยว่าจะรอดไหม เราจะอึดอัดไหมถ้าเขาพูดกันเป็นฝรั่งเศสตลอดจะทำยังไง กลายเป็นว่าทุกคนพูดอังกฤษจริงๆ (เพื่อนคนนึงของเมลีสพูดเยอรมันไม่ได้ เลยต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร) ขนาดเขาคุยด้วยกันเองยังคุยเป็นอังกฤษเลยอ่ะ เตยรู้สึกตื้นตันใจบอกไม่ถูก ที่คนฝรั่งเศสสามคนต้องมานั่งนึกคำอังกฤษไปด้วยกันทั้งโต๊ะแบบนี้เพราะเราคนเดียว แล้วก็คุยแบบสนุกด้วยไม่ได้คุยแบบผิวเผินทั่วไปที่ไม่ค่อยยาวเกินสองสามประโยค เราคุยกันสามชั่วโมงกว่าๆได้ สนุกดีได้คุยกับเพื่อนชาติใหม่ เพราะที่ผ่านมาเตยไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนฝรั่งเศสเลย ไม่เคยรู้ว่าลักษณะนิสัยเขาเป็นอย่างไรบ้าง เตยโชคดีที่มีเรื่องคุยกับเมลีสเยอะมากๆเพราะเราสนใจอะไรเหมือนๆกัน โดยเฉพาะพวกปรัชญาบ้าง วัฒนธรรมบ้าง คุยได้เป็นวันๆเลยจริงๆ คือแบบติดลมมมม เตยแอบอมยิ้มว่าทำไมช่วงนี้โชคดีจังเจอแต่คนคุยด้วยแล้วติดลมทั้งนั้น ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่เตยก็จะเต็มที่กับมัน ไม่ใช่มาคิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปไม่ต้องมาใส่ใจมาก กลับกัน เรายิ่งต้องให้ความสำคัญตอนที่เรายังมีมันอยู่ต่างหาก แนวคิดนี้ใช้ได้ทั้งกับคน และความสุขเลย

ถึงแม้เรื่องเครียดๆจะรอเราอยุ่ในวันพรุ่งนี้
แต่คืนนี้ เราจะมีความสุข ก็ใช้เวลาคืนนี้ให้คุ้ม

ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้

Gute Nacht

17 March 2016

16.03.2016 วันพุธ

วันนี้เป็นวันสอบวันที่สาม และวันสุดท้ายของการสอบก่อนปิดเทอมอีสเตอร์ 

เตยรู้สึกปลดปล่อยมากหลังจากสอบ ถึงแม้จะยังไม่สุด แต่เตยก็เริ่มได้กลิ่นของปิดเทอมมาลางๆแล้ว

วันนี้สอบวิชา Text production ภาษาเยอรมัน เตยรู้ตัวว่ายังเขียนได้ไม่เต็มสมรรถภาพ อาจจะเพราะเตยฝึกเขียนเชิงวิชาการน้อยไป ทำให้เรียบเรียงคำได้ช้า อย่างไรก็ตามเตยคิดว่าก็ทำเต็มที่เท่าที่ตอนนั้นเราจะทำได้แล้ว ความจริงควรจะเขียนประมาณ ๒๕๐ คำ แต่เตยเขียนได้ไม่ถึง ประมาณสองร้อยเองมั้งนะ หัวข้อที่เลือกเป็นเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ให้ถกประเด็นว่า การท่องเที่ยวยุคปัจจุบันได้มีผลดีผลเสียอย่างไร และจะแก้ไขผลเสียนี้ได้อย่างไรบ้าง มันดูเป็นหัวข้อที่เปิดกว้างมากๆแต่เตยจะเขียนแบบยืดยานไม่ได้ การเขียนมันต้องกระชับ ได้ใจความ ไม่เขียนอธิบายวกวน และใช้ภาษาหลากหลาย คือไม่ใช้คำพื้นๆ ใช้คำเชื่อม conjunctions สวยๆงามๆทั้งหลาย เช่น darüberhinaus, dementsprechend, des Weiteren, etc. การใช้คำกับบุพบทก็ต้องระวัง เตยคิดว่าเตยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีไปกับการเปิดดิกชันนารีตรวจดูว่ากริยานี้มันใช้บุพบทอะไร จริงๆนะ ช้าแต่ชัวร์ สุดท้ายเลยเขียนได้แค่นั้น๕๕๕

หลังจากที่เรียนคอร์ส T ในคอลเลจนี้มาทั้งสิ้นเกือบ ๗ เดือน รู้สึกว่ามันสนุกนะวิชาที่เรียน ฟิสิกส์ คณิต ภาษาเยอรมัน อาจจะยกเว้นเคมีไว้สักอัน รู้สึกดีมากนะที่ได้มีโอกาสมาเรียนสายนี้ ได้รู้จักคนที่มีความฝันคล้ายๆกัน มีเพื่อนคนหนึ่งอยากเรียนวางผังเมืองมาก ไม่ได้แค่พูดเฉยๆด้วย เขาสนใจอ่านบทความต่างๆที่เกี่ยวกับการวางผังเมือง การจัดการระบบต่างๆ เราก็เออมันชอบจริงเว้ย ขนาด text ที่เป็นแบบฝึกหัดในคาบเยอรมันเขายังตื่นเต้นตาวาว ยกมือถามและตอบรัวๆ แต่พอได้คลุกคลีกับเพื่อนคนนี้มากขึ้นก็รู้สึกว่าเราก็ชอบอะไรทำนองนี้เหมือนกันแฮะ แต่มันเป็นเกี่ยวกับการคมนาคมต่างๆมากกว่า การวางแพลนเมืองด้านอื่นๆเตยยังเฉยๆ เวลาอะไรที่เกี่ยวกับ public transport มันจะดูสนุกและน่าสนใจดี บางทีการชอบอะไรมันก็ไม่ต้องคิดมากนะ แค่คิดตามสิ่งที่มันเป็นก็พอ ไม่ต้องคิดว่ามันจะดูเท่ไหม ได้เงินดีไหม เรียนยากหรือเปล่า ถ้าคนมันชอบอะไรมันก็ทำได้หมดแหละ

หลังเลิกเรียนวันนี้ต้องไปเขียน Protokoll รายงานผลการทดลองต่อ วันนี้ได้ทำงานกับเพื่อนคนใหม่ที่ไม่เคยทำงานกลุ่มด้วยกันมาก่อนเลย แล้วในที่สุดเตยก็ได้รู้แจ้ง ว่าการเขียนโปรโตคอลที่ถูกหลักมันเป็นยังไงจากเพื่อนคนนี้ รู้สึกอับอายกับการเขียนคราวก่อนๆที่ผ่านมามาก มันเด็กน้อยและไม่ประณีตเอาเสียเลย เพื่อนคนนี้จบมาจากโรงเรียนโครงการภาษาเยอรมัน (เหมือน EP แค่เปลี่ยนทั้งหมดเป็นเยอรมัน) เลยต้องผ่านรายงานอะไรแบบนี้มาอยู่แล้ว พอเขาเอาตัวอย่างให้เราดูเราก็อื้อหือ นี่มันคนละชั้นกันเลยจริงๆ วันนี้เตยเลยอาสา เขียนเกินครึ่งเพื่อเป็นการทดลองตัวเอง เวลาเจออะไรยากๆ เตยกล่อมตัวเองว่า ก็ชนมันไปเลย ไม่ต้องมัวมาเสียเวลาคิดว่ามันยากไหม เริ่มทำเลย เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆแก้ไข และลงตัวไปเอง การเขียนรายงานแบบจริงจังชิ้นนี้ก็เช่นกัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเตยเลยเพราะเตยไม่เคยเขียน เราต้องเขียนส่วนนำ ข้อสมมติฐาน อุปกรณ์ สรุปผล โยงทฤษฎี เตยนั่งเอาปากกาจิ้มขมับอยู่นานสองนาน จนเพื่อนถามว่าโอเคไหม ๕๕๕ สุดท้ายต้องเอาสมุดวิชาฟิสิกส์ไฟฟ้ามาเปิดควบคู่กันไปด้วย (การทดลองเป็นเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้า) ขยึกขยักเขียนไปเท่าที่เราจะถูไถจนมันเสร็จจนได้ เตยรู้สึกฟินมาก ดียิ่งกว่าตอนทำข้อสอบเสร็จอีก เพราะเราได้ก้าวผ่านภูเขาลูกใหญ่อีกลูกหนึ่งชองอาทิตย์ไปได้สำเร็จแล้ว เหลือก็แค่เรียนอีกสี่คาบเท่านั้น

อีก ๒ วันเท่านั้น!!

12 March 2016

12.03.2016

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เตยจะอยู่ที่หอนักเรียน Adlershof นี้แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกแบบนี้-- ผูกพัน ถึงมันจะแค่แปปเดียว สี่เดือนครึ่งที่ผ่านมาก็เป็นช่วงที่ดีนะที่นี่ ถึงมันจะอยู่ไกลจากตัวเมืองมากก็ตาม แต่มันก็สบายใจ อยู่แล้วมีความสุขนะ เตยพูดได้เต็มปาก คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก จริงซะยิ่งกว่าจริง เตยคงจะคิดถึงห้องออกกำลังกายที่ช่วงนี้ติดมาก เข้าเกือบทุกวัน คงจะคิดถึงเสียงรถรางวิ่งเข้าวิ่งออกที่ได้ยินตลอดทั้งวันทั้งคืน คิดถึงกุญแจสุดทันสมัยที่กดเปิดประตูติดบ้างไม่ติดบ้าง (ฮา) คิดถึงตอนนอนอ่านนิยายบนเตียงสูงๆที่ต้องกระโดดขึ้นทุกครั้ง แต่เตยก็ตัดสินใจไปแล้ว อย่างที่แพะบอก มันไม่มีการตัดสินใจที่ผิดหรอก มีแค่ดี กับดีที่สุดเท่านั้นเอง

ชีวิตมันก็ยังเดินต่อไปข้างหน้า ตอนนี้อาจจะรู้สึกว่าติดขัดลำบากไปบ้าง แต่เตยเชื่อนะว่าเตยจะผ่านไปได้ ถึงจะมีสอบติดกันอาทิตย์หน้านี้ ต้องเก็บของย้ายบ้าน คอมเสีย เตยก็ยังเชื่อว่าเตยพยายามที่สุดแล้ว เตยจะผ่านเวลาเหล่านี้ไปได้ ปัญหาจะเข้ามาอีกเท่าไหร่ก็เริ่มคุ้นเคยกับมันมากขึ้น ในทุกๆวันก็มีทั้งเรื่องดีเรื่องแย่ มันขึ้นอยู่กับเราจริงๆว่าเราจะเก็บอะไรมาใส่ใจ เอาอะไรมาคิด ความสุขมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งหมดจริงๆ ยิ่งปล่อยวางได้ ก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

เป้าหมาย ความฝัน ความตั้งใจ ต้องเป็นอะไรที่เตยห้ามทิ้ง ก่อนหน้านี้เตยเคยคิดมาตลอดว่าอยากเป็นหมอ แต่วันๆหนึ่ง มันก็เปลี่ยนไป เตยตัดสินใจเบนมาเรียนวิศวะ มันไม่ง่ายเลย มันรู้สึกเหมือนเราทิ้งความฝันที่เราเชื่อมาทั้งชีวิตลงไปกับการตัดสินใจในครั้งเดียว --แต่ความจริง เตยก็ต้องยอมรับด้วยว่าเตยอาจจะไม่ได้อยากเป็นหมอจริงๆก็ได้ เตยไม่เคยเรียกมันได้เต็มปากว่าการเป็นหมอคือความฝันของเตย เคยถามตัวเองก่อนทุกครั้งเวลามีคนถามว่าจะเรียนอะไร มันมีความรู้สึกขัดแย้งเล็กๆที่เราพยายามเมินเฉยมันตลอด แล้วพอตอนนี้ ที่เตยตัดสินใจทิ้งหมอไปจริงๆ ก็กลับมาเสียดายอยากกลับไปเป็นหมออีกแล้ว เตยไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆว่าตัวเองเป็นคนยังไงกันแน่ 

อย่างไรก็ตามมันไม่มีทางหันหลังกลับแล้วเตยต้องเดินทางเส้นนี้ต่อไป การเรียนวิศวะก็ยังไม่เริ่มขึ้นเลย บางทีเตยอาจจะชอบสายนี้มากจริงๆก็ได้? ลองดูก่อนแล้วกันนะ แต่ลึกๆแล้วอยากบินกลับไทยไปสอบ กสพท ณ จุดนั้นเลยตอนที่ความรู้สึกอยากเป็นหมอมันตีคลื่นกลับมาอีกครั้งในใจ ๕๕

ตอนนี้คำว่าความฝันมันดูเป็นคำธรรมดาที่มีพลังมากเลย โดยเฉพาะสำหรับเด็กวัยรุ่นกระเตาะแบบเรา คนที่น่าอิจฉา ไม่ใช่คนที่เรียนได้เกรด 4.00 แต่คือคนที่มีความฝัน นี่คือสิ่งที่เตยคิดมาโดยตลอด รู้กันได้ยังไงว่าความฝันหน้าตาเป็นยังไง หรือเราแค่จินตนาการบางอย่างแล้วคิดว่า "อื้ม เราคิดว่าเราอยากทำแบบนี้ได้นะ" แค่นี้หรอ พอไหม? งั้นถ้าเตยอยากสร้างรถไฟใต้ดินให้เชียงใหม่ มันจะมีพลังพอให้เรียกว่าความฝันได้ไหม? ประโยคนี้มัน push ให้เตยมาเรียนวิศวะที่เยอรมันแล้ว แต่เตยไม่รู้ว่าพอทำตามฝันไปแล้วมันไม่ใช่ เราจะเรียกมันว่าอะไร? ความฝันที่ผิดหรอ ฟังแปลกๆอยู่นะ 

ต้องไปเก็บของต่อแล้ว ด้วยใจเบาหวิว ใจหายอ่ะ ไม่อยากไปแล้ว 😢