เพื่อนคนหนึ่งเขาบอกเราในโรงอาหาร บอกว่าเขาคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านมามันเสียเวลาเปล่า ถ้าเขาไม่ต้องเรียน Studienkolleg เขาคงจะได้ทำอะไรที่ดูมีประโยชน์มากกว่านี้ เรียนซอฟแวร์ เรียนสถาปัตย์ที่เขาตั้งใจ
เรานี่ใจกระตุกเลยนะ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่หนึ่งปีจะผ่านไปโดยสูญเปล่า
ยกตัวอย่างขนาดคนที่นอนอยู่โรงพยาบาลเฉยๆหนึ่งปี เรายังไม่เรียกว่าสูญเปล่าเลย อย่างน้อยเขาก็ได้รู้จักชีวิตมากขึ้น
ก็ชีวิตเราผลักดันให้มาเป็นแบบนี้ เราก็ควรยอมรับมันแหละใช่ไหม
อีกมุมเล็กๆในใจเราก็แอบน้อยใจ เขาไม่ยินดีเลยหรอที่เราได้เจอกัน ได้เป็นเพื่อนกัน ในปีนี้ที่เราเดินเข้ามาในชีวิตของเขา เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ในชีวิตที่สูญเปล่าไหม
เรามองหน้าเพื่อนแล้วกระพริบตาปริบๆ แล้วบอกว่า
ไม่จริงหรอก มันไม่ใช่แค่การเสียเวลาเปล่าแน่
เธอได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นแน่ แค่ว่าเธอไม่รู้ตัว
มันก็จริง ว่าเธอไม่ได้ต้องการฟิสิกส์หรือคณิตอะไรมากมายอีกแล้วในชีวิตต่อไปข้างหน้า
แต่ในชีวิตเราเลือกเงื่อนไขไม่ได้ เราไม่สามารถโวยวาย บอกให้ชีวิตมันปรับเงื่อนไขให้เข้ากับเราได้สักหน่อย
มันกลับกัน
C'est la vie! --นี่แหละชีวิต!
.
เราคิดว่าเราได้รู้จักกับ Positivity มากขึ้นในช่วงหลายเดือนมานี้
เราไม่แน่ใจ ว่าเพราะชีวิตมันเริ่มลงตัวขึ้น หรือเราปรับตัวให้เข้ากับชีวิตได้ดีขึ้นกันแน่
แต่เรารู้สึกได้ ว่าเรารู้จักที่จะยอมรับกับความไม่แน่นอน และการถาโถมเข้ามาของปัญหาได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ
เราเข้าใจแล้ว ว่าเราไม่สามารถ control ชีวิตในทุกๆด้านได้
เราเคยบอกเพื่อนคนนั้นว่า ชีวิตมันก็เหมือนคลื่นแหละ มีขึ้น ก็ต้องมีลง เดี๋ยวสิ่งดีๆก็จะเข้ามาเองนะ ไม่ต้องกังวล
เพื่อนคนนั้นถามเรากลับว่า แล้วเธอล่ะเคยมีขาลงบ้างไหม เธอดูสบายดีตลอด
เราบอกว่า มีสิ แค่เราไม่ได้เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง
เราเคยผ่านประสบการณ์ไม่ดีกับแฟลตแชร์ เจอตัวเรือด จอไอโฟนแตก ทำนมหกใส่แมคบุ้คเสียไปหลายร้อยยู มีปัญหาเกี่ยวกับค่า GEZ นี่อีก
เผลอๆขาลงของเราจะกลายเป็นเรื่องจิ้บๆของคนอื่นอีกต่างหากนะ
ทุกคนมีหมดแหละขาลงน่ะ
.
แต่หลังจากขาลงทั้งหมดมันก็มีขาขึ้นจริงๆ อย่างเช่นตอนนี้ เราขอเรียกว่าขาขึ้นของเรา เรารู้สึกดีเวลากลับบ้าน มีเพื่อนดีๆอยู่รอบข้าง อากาศก็ดี เราหลับสบาย ไม่ต้องกังวลปวดหัวเหมือนแต่ก่อน
เมื่อสองสามเดือนที่แล้วเราร้องไห้กับแพะ บอกว่าทำไมทุกคนต้องมารุมเร้าจะเอาเงินจากเราด้วย เราเหนื่อยกับเงิน
เราเกลียดเงิน
เราไม่เคยเป็นคนที่ handle เรื่องเงินได้เก่งเลย ไม่เคยเลย พอต้องมาเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองจริงๆ เลยรู้สึกกลัวมัน รู้สึกว่ามันเลวร้ายมาก
แต่ตอนนี้เราก็ทำใจได้ดีขึ้นเวลามีปัญหาพวกนี้ เราไม่ค่อย panic มากแล้วเวลาปัญหามันมา เราให้เวลาตัวเองสติแตกแปปนึง แล้วรวบรวมสติ
เอาใหม่นะ คิดใหม่ว่าจะหาทางออกอย่างไรได้บ้าง
เราค้นพบว่า ทริคในการมองบวกไม่ยากมากนัก
๑. อย่าคิดเผื่อเยอะเกินไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อะไรที่ยังไม่เกิด ก็คือยังไม่เกิด มีความสุขกับตอนนี้ที่มันยังไม่เกิดขึ้นซะ
๒. ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น คำพูดที่ว่า "ถือว่าฟาดเคราะห์ละกัน" เป็นตัวช่วยที่ดี ก็มันเป็นอย่างนี้แหละ ทำไงได้ หาทางออกทำอย่างอื่นให้ดีขึ้นดีกว่า อย่าจมอยู่กับปัญหา ไม่งั้นมันจะมีแค่เราเท่านั้นที่ทุกข์
.
พูดถึงการเสียเวลาเปล่าแล้วก็คิดถึงงานภาษาอังกฤษที่ได้จาก Mr.Connelly ตอนสมัยมัธยม
งานมันเยอะมาก มีช่วงหนึ่งที่ได้ทำแบบฝึกหัดจากหนังสือเรียน Stream อะไรสักอย่าง
พอถึงวันกำหนดส่ง แกไม่ตรวจซะงั้น หลายๆคนบ่นมาก ว่าเสียเวลาเสียพลังงานจริงๆ ไม่ตรวจแล้วจะสั่งทำไม
เรากลับรู้สึกเฉยๆมาก เราไม่แคร์ว่าแกจะตรวจหรือไม่ด้วยซ้ำ เราไม่เฮิร์ตเลยที่แกโยนงานเรากลับมาอย่างนั้นทั้งๆที่ปั่นทำแทบตาย
เราคิดว่า สุดท้ายเราก็ได้ประโยชน์เองป่าววะ ได้ทำโจทย์แก้ปัญหามากมาย เรียนศัพท์ใหม่ตั้งเยอะ มันเหนื่อยก็จริงก็เข้าใจ แต่เราไม่เรียกมันว่าการเสียเวลานะ
เราต้องมองเป้าหมาย จุดประสงค์ของการกระทำต่างๆให้ชัด เราถึงจะตัดสินใจได้ ว่านี่เรียกว่าการเสียเวลาหรือไม่
.
If you have a positive attitude and constantly strive to give your best effort, eventually you will overcome your immediate problems and find you are ready for greater challenges.
-Pat Riley
เป็นผู้ใหญ่แล้วนะเขียบได้ดีนะเตย
ReplyDelete