ไม่ได้เขียนตั้งนาน วันนี้เกิดคึกอยากบันทึกอะไรลงบล็อคบ้าง หลังจากซุ่มเขียนแต่ไดอารี่มาหลายเดือน
เขียนไดอารี่จะเขียนอะไรก็ได้ เป็นการเขียนที่ไม่ต้องกรอง ไม่ต้องคาดหวังจากการเขียน ความจริงก็เป็นแค่การบันทึกการสนทนาภายในใจของตัวเองเฉยๆ เป็นการเขียนที่สบายและจริงใจมากที่สุด-- แต่ทุกคนก็รู้ว่าความจริงใจเกินไปมิใช่ผลดี
บทความนี้จะเป็นการเขียนแบบไม่แพลน อาจจะวกวนหน่อย ขออภัยมา ณ ที่นี้
ตอนนี้มาอยู่เยอรมันได้ ๓ เดือนกว่าๆแล้ว นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นไปทุกวันน้ำหนักก็ตามมาด้วย การมาเยอรมันครั้งนี้ แปลกไปกว่าทุกที ครั้งนี้ การวิ่งขึ้นรถไฟทุกวันมันมีความหมาย ชั่วโมงทุกชั่วโมงมีค่า และการใช้สมองและทักษะทั้งหมดของเรา ก็ดูเป็นรูปธรรมกว่าทุกครั้ง
ที่ผ่านๆมาประโยคที่บอกว่า "จะมาเรียนต่อที่เยอรมัน" นั้น, แม้จะพูดและเขียนมานับครั้งไม่ถ้วน ภายในใจเรายังไม่เคยเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ การมาครั้งก่อนๆเราคร่ำเคร่งแต่กับภาษา มันยังเป็นแค่ทางผ่าน เหมือนของเรียกน้ำย่อย ซึ่งเตยก็รู้สึกขอบคุณมากๆ เพราะเมนคอร์สนี้คงจะใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะเสร็จกระบวน ๔ หรือ ๕ ปีนู่น
เบอร์ลินเป็นเมืองใหญ่สมคำร่ำลือ ตอนนี้ความจริงก็ยังไม่ได้รู้จักเบอร์ลินมากไปกว่าตอนปี ๒๐๑๒ เสียเท่าไหร่ เพราะมัวแต่นั่งรถไฟไปเรียน กลับบ้าน ซักผ้า นอน การที่เราเข้าไปอยู่ กับไปเที่ยวนี่มันต่างกันมากจริงๆ ตอนเดือนกันยาช่วงแรกๆที่มาอยู่ใหม่ๆ นั่งรถไฟผ่าน Fernsehturm กับแม่น้ำ Spree ทุกวันเช้าเย็น เตยยังไม่ค่อยเชื่อตาตัวเองว่า เฮ้ย นี่เรามาอยู่ที่นี่จริงๆแล้วนะ นี่แหละเมืองที่เราเคยคิดแค่วางแพลนว่าจะ"มาเที่ยว" มันเพี้ยนกลายเป็น"มาอยู่"ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
ในตอนแรกคาดหวังไว้น้อยมากว่าจะสอบติด มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำ ไม่เคยซ้อมสนามสอบที่ไหนมาก่อน การสอบ Studienkolleg เป็นอะไรที่ร่ำลือและได้ยินมาตั้งแต่ม.๔ ...รู้สึกเกรงขามในคำนี้มานานหลายปีดีดัก แต่พอเราต้องมาเผชิญหน้ากับมัน ก็ไม่ได้อลังการงานสร้างแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เคยกลัวและกังวลมันเป็นแค่การคิดไปเองในหัวทั้งนั้น พอไปสอบ เราก็แค่ต่อคิว นั่งรอ เขียนชื่อ และทำโจทย์เหมือนสอบไฟนอลในโรงเรียนทั่วไป
--ไม่ใช่แค่การสอบนี้นะที่เตยสังเกต เตยสังเกต phenomenon นี้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว (เรียกว่า phenomenon ได้ไหม? สำหรับเรารู้สึกว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน สงสัยเป็นเพราะเตยยังเป็นเด็กน้อยมากนัก)
มันมีหลายอย่างที่เราเคยกลัวมันและคิดว่าจะยากมากแน่ๆ แต่พอเราเดินมาถึงจุดที่ "ต้องทำ" แล้วมันกลับกลายเป็นเรื่องที่เรียบง่ายกว่าที่คิด เรื่องหาบ้าน ต่อวีซ่า ขึ้นเครื่องบินเอง ทำเอกสารต่างๆ เตยเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่ดูเคร่งเครียด จริงจัง ยุ่งยาก อยู่ๆเตยก็เดินมาถึงจุดนี้และลงมือทำมันต่อไป แบบไม่ต้องคิดอะไรเลยนอกจากสิ่งที่กำลังดีลอยู่ พยายามที่จะแก้ปัญหาไปทีละเปลาะ ตอนนี้พอเจออะไรที่ดูยุ่งยาก เตยก็คิดว่า เอาน่ะ ทุกขั้นตอนมันถูกออกแบบให้มนุษย์สามารถจัดการได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้? ความคิดที่ทำให้เรารู้สึกกลัวความยุ่งยาก มันก็เหมือนนิทานหลอกเด็กให้กลัวต่างๆนานา ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เด็กน้อยจึงพยายามหลีกเลี่ยง วิ่งหนี ร้องไห้ ทั้งหมดนี้สูญเสียเวลาและพลังงานกับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น
หลังจากผ่านความผิดพลาดหลายอย่างมา เตยก็ต้องยอมรับว่ากลัวการตัดสินใจ ไม่มั่นใจ ว่าสิ่งที่เราคิดนี่จะถูกไหม แต่ต้องขอบคุณหลายๆคนที่ช่วยให้คำปรึกษา ทำให้เตยรู้สึกว่า เออ ใครมันจะไปรู้ถ้าเราไม่ได้ไปลอง"ทำ"ดู ตอนนั้นที่เราคิด เราตัดสินใจเต็มที่แล้ว ถ้ามันไม่ได้ออกมาตามที่คาดหวัง ก็หาทางออกใหม่ เราไม่ใช่หมอดูที่จะหยั่งรู้ การที่เราตัดสินใจไป ก็เพื่อทำให้รู้ เท่านั้นแหละเนาะ
สู้ต่อไป สาวน้อย ไม่มีอะไรยากเกินไป แค่ทำให้ได้ ทำไม่ได้ก็ลองใหม่ได้อีก
ReplyDeleteขอบคุณมากค่ะอาอ๊อด เตยก็พยายามแก้มันไปทีละเรื่องๆ ฮ่าๆ
Delete