15 September 2016

JORIS - Sommerregen


ศิลปิน JORIS
เพลง Sommerregen (ฝนหน้าร้อน)
Und ich spüre Leben
ฉันสัมผัสได้ถึงชีวิต
Lauf' im Sommerregen

วิ่งท่ามกลางฝนหน้าร้อน
Und die Zeit steht still

และเวลาก็หยุดนิ่ง
Bin gefangen im Augenblick

ฉันถูกจับไว้ภายในพริบตาเดียว
Will nie wieder zurück

และไม่อยากจะหันกลับไปอีก
Will den Regen mit uns tanzen sehen

ฉันอยากเห็นสายฝนเต้นรำกับเรา
Yeah
Nimm meine Hand

จับมือฉัน
Und mach die Augen zu und tanz

Und mach die Augen zu und tanz
หลับตาลงและเต้นไปด้วยกัน

Nimm meine Hand

จับมือฉัน
Und wenn der Regen mit uns tanzt

และเมื่อสายฝนเต้นรำกับเรา
Dann mach die Augen zu und tanz

จงหลับตาลงและเต้นไปด้วยกัน
Sind so Viele am reden
ผู้คนมากมายมัวแต่พูดกัน
Keine Zeit fürs Leben

ว่าไม่มีเวลาให้ชีวิตหรอก
Und jetzt fällt der Regen

และตอนนี้ฝนกำลังโปรยลงมา
Auf dein Sommerkleid

บนชุดกระโปรงหน้าร้อนของเธอ
Durch das Grau wieder zu Weiß

ผ่านจากสีเทา กลายเป็นสีขาวอีกครั้ง
Ganz vergessen was das heißt

ลืมไปเลย ว่ามันเป็นอย่างไร
Wenn der Regen mit uns tanzen geht

เมื่อสายฝนเต้นรำกับเรา
Yeah
Nimm meine Hand

จับมือฉัน
Und mach die Augen zu und tanz
Und mach die Augen zu und tanz

หลับตาลง และเต้นไปด้วยกัน

Nimm meine Hand

จับมือฉัน
Und wenn der Regen mit uns tanzt

และเมื่อสายฝนเต้นรำกับเรา
Dann mach die Augen zu und tanz

จงหลับตาลงและเต้นไปด้วยกัน
Und mach die Augen zu und tanz
หลับตาลง และเต้นไปด้วยกัน

Und mach die Augen zu und tanz
หลับตาลง และเต้นไปด้วยกัน

Nimm meine Hand
จับมือฉัน
Und mach die Augen zu und tanz
Und mach die Augen zu und tanz
หลับตาลง และเต้นไปด้วยกัน

Nimm meine Hand
จับมือฉัน
Und wenn der Regen mit uns tanzt
และเมื่อสายฝนเต้นรำกับเรา
Dann mach die Augen zu und tanz
จงหลับตาลงและเต้นไปด้วยกัน
Und mach die Augen zu und tanz
หลับตาลง และเต้นไปด้วยกัน

Nimm meine Hand
จับมือฉัน
Und mach die Augen zu und tanz
หลับตาลง และเต้นไปด้วยกัน

Lina Maly - Schön genug



ศิลปิน Lina Maly

เพลง Schön genug (สวยงามพอแล้ว)

Ich mag die Dinge die du tust

ฉันชอบสิ่งที่เธอทำ
Mehr als die Worte die du sagst
มากกว่าคำที่เธอพูด
Und das Gesicht der grauen Stadt
ฉันชอบโฉมหน้าของเมืองสีเทา
Mehr als die Art wie du sie ausmalst
มากกว่าเมืองแบบที่เธอทาสีลงไป

Ich mag die Risse im Asphalt
ฉันชอบรอยแตกในดินเหนียว
Und alle Steine auf dem Weg
และก้อนหินทุกก้อนระหว่างทาง
Ich brauch kein Ziel um mir zu merken
Dass mich irgendwas bewegt
ฉันไม่ต้องคิดว่าต้องมีบางอย่างผลักดันฉันอยู่

Aber alles soll und alles muss
แต่ว่าทุกอย่างควรจะเป็นและต้องเป็น
Aber alles geht und jeder will
แต่ว่าทุกอย่างก็กลายเป็นเช่นนั้น และทุกคนต้องการ
Perfekt sein
ที่จะสมบูรณ์แบบ
Perfekt sein
ที่จะสมบูรณ์แบบ

Sind wir denn nie schön genug?
เราจะไม่มีวันสวยงามเพียงพอหรือ?
Ist es hier nie schön genug?
ตอนนี้ที่เป็น ยังดีไม่พออีกหรือ?
Sind wir denn nie schön genug?
เราจะไม่มีวันสวยงามเพียงพอหรือ?
So wie wir sind, sind wir so viel zu schnell zu müde oder blind
สิ่งที่เราเป็น, ก็เพียงแค่เหนื่อยง่ายหรือตาบอดเร็วเกินไปต่างหากล่ะ

Wir machen beide Augen zu
เราปิดตาทั้งสองข้าง
Und wollen doch alles erkennen
แต่แล้วเราก็ยังอยากรับรู้ทุกอย่าง
Und uns in tausend schönen Worten
Die Liebe erzählen
แต่แล้วเราก็ยังอยากอธิบายความรักด้วยคำพูดสวยงามนับพันคำ

Die ganze Welt muss uns gehören
โลกทั้งใบต้องเป็นของพวกเรา
Vom Himmel bis zum Meer
ตั้งแต่ท้องฟ้า จนถึงมหาสมุทร
Und wenn wir in den Spiegel schauen
และเมื่อเรามองกระจกอีกครั้ง
Sehen wir uns selber nicht mehr
เรามองไม่เห็นตัวเองอีกต่อไป

Aber alles soll und alles muss
แต่ว่าทุกอย่างควรจะเป็นและต้องเป็น
Aber alles geht und jeder will
แต่ว่าทุกอย่างก็กลายเป็นเช่นนั้น และทุกคนต้องการ
Perfekt sein
ที่จะสมบูรณ์แบบ
Perfekt sein
ที่จะสมบูรณ์แบบ

Sind wir denn nie schön genug?
เราจะไม่มีวันสวยงามเพียงพอหรือ?
Ist es hier nie schön genug?
ตอนนี้ที่เป็น ยังดีไม่พออีกหรือ?
Sind wir denn nie schön genug?
เราจะไม่มีวันสวยงามเพียงพอหรือ?
So wie wir sind, sind wir so viel zu schnell zu müde oder blind
สิ่งที่เราเป็น, ก็เพียงแค่เหนื่อยง่ายหรือตาบอดเร็วเกินไปต่างหากล่ะ

Ich wäre manchmal gerne weniger von allem
ฉันนะต้องการทุกอย่างน้อยลงบางครั้ง
Und trotzdem genug
และมันก็เพียงพอแล้ว
Will ohne Plan und ohne Richtung sein
ไม่ต้องวางแผน ไม่รู้ทิศทางบ้าง
Aber irgendwie gut
แบบนี้บ้างมันก็ดีนะ

Ohne Lösung und Perfektion
ไม่มีคำตอบ และความสมบูรณ์แบบ
Und ohne aufzufallen
และไม่มีความโดดเด่น
Will ich ich selber sein
ฉันอยากเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น
Will ich ich selber sein
ฉันอยากเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น

Sind wir denn nie schön genug?
เราจะไม่มีวันสวยงามเพียงพอหรือ?
Ist es hier nie schön genug?
ตอนนี้ที่เป็น ยังดีไม่พออีกหรือ?
Sind wir denn nie schön genug?
เราจะไม่มีวันสวยงามเพียงพอหรือ?
So wie wir sind, sind wir so viel zu schnell zu müde oder blind
สิ่งที่เราเป็น, ก็เพียงแค่เหนื่อยง่ายหรือตาบอดเร็วเกินไปต่างหากล่ะ

(ซ้ำ)

sind wir so viel zu schnell zu müde oder blind
เพียงแค่เหนื่อยง่ายหรือตาบอดเร็วเกินไปต่างหากล่ะ

30 June 2016

28.06.2016 วันอังคารที่ฉันอยากจดจำ

๒๘.๖.๒๐๑๖

เมื่อวานนี้เป็นวันอังคาร ที่ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา
มันเป็นวันอังคารแบบที่ อยากจดจำไปนานๆ

ได้กินมื้อเย็นกับเฮาส์เมทที่น่ารัก ไมลีส เราเลือกกินร้าน Rises Delicacies ที่ Veteranenstraße 25 โดยเราเดินจากสถานี Oranienburgerstraße ไปพร้อมกันสบายๆ ไมลีสมารับฉันหลังฉันเรียนฝรั่งเศสเสร็จ
เราเดินผ่านร้านอาหารมากมายตามข้างทาง Mitte ของเบอร์ลินมันมีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด

ไมลีสบอกว่า ฉันรักย่านนี้จริงๆนะ มันเต็มไปด้วยร้านอาหาร ผู้คน และสีสัน
ฉันก็คิดเหมือนกัน รู้สึกอบอุ่นในใจมากเวลาเดินผ่านร้านอาหาร ได้ยินเสียงคนพูดคุย หัวเราะลั่นร้าน
ในวันอากาศดีๆแบบนี้ ไม่เย็นไป ร้อนไป และมีแดด
ลมเย็นโกรกเล็กน้อย ฉันดันใส่กางเกงขาสั้นมา เพราะตอนกลางวันมันร้อนกว่านี้นิดหน่อย

ระหว่างทางเราได้พบเห็นอะไรมากมาย
เราเดินผ่านร้านอาหารที่มี floor ให้คนมาเต้นสวิง ซึ่งเวเรน่าเคยพาฉันมาตอนปี 2013 เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว บรรยากาศร้านนี้ยังคึกคักเหมือนเคย ไมลีสบอกว่าเคยมาเต้นอยู่ครั้งนึง สนุกดี
ฉันก็ชอบ ตอนเข้าไปจะคล้ายๆฟลอร์ให้เต้นเป็นพื้นไม้ ไฟสลัวๆ มีบาร์ มีที่นั่งด้านในเช่นกัน แต่ฉันพนันว่าวันอากาศดีแบบนี้ไม่มีใครนั่งด้านในแน่

เดินผ่านร้านอาหารที่เป็นชื่อ factory อะไรสักอย่าง เราสองคนหันมาพูดพร้อมกันว่า "Es sieht gut aus!" คือคนเต็ม พนักงานวิ่งไปมาแล้วอาหารดูน่ากินมากๆ มายเน่อกื๊ดเท่อ ดูเป็นร้านอาหารชิคๆวัยรุ่นๆ สไตล์มินิมอล โมเดิร์นๆหน่อย

เดินผ่าน Hof ที่มีกราฟฟิติสวยมากๆ เรานั้นไม่อาจปล่อยให้มันผ่านเราไปเฉยๆได้ เราสองคนเลยแวะเข้าไปข้างใน
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก Hof นะคะ Hof คือ พื้นที่ว่างตรงกลางของตึกแถวที่ล้อมอยู่ งงไหม? ๕๕ ลองคิดดูนะคะว่าตึกแถวมันไม่ได้ลึกเข้าไปสุด คือมีพื้นที่หลังบ้านเว้นไว้ เป็นที่ว่างตรงกลางแล้วล้อมด้วยอพาร์ทเมนต์ที่ติดกันอีกทีนึง พอจะนึกภาพออกไหม
อย่างว่านะ Berlin เลื่องลือนามเรื่องกราฟฟิติสุดๆ (ไม่รู้ว่าชื่อเสียงหรือชื่อเสียมากกว่ากันด้วย แหะๆ) เพราะเยอะมาก๕๕ คือหลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันสกปรก รกหูรกตา เมืองอะไรเนี่ยกราฟฟิติเต็มไปหมด แต่ว่าฉันชอบ

วกกลับมาที่โฮฟที่เราเข้าไปกันเมื่อวาน
เป็นหนึ่งในโฮฟที่ พูดเลย สวยมากที่สุดที่เคยเห็นมา (ขอไม่นับ YAAM แถว Ostbahnhof แล้วกันนะ มันไม่ใช่โฮฟ ๕๕๕ เอ๊ะยังไง) มันดู chaos แต่ก็ดูลงตัวกัน มีเพนต์ตามตึกขึ้นไปถึงชั้นสูงๆด้วย พอเดินเข้าไปตรงลานจอดรถยนต์รถจักรยานด้านในก็เจอผลงานศิลปะอื่นๆตามมาเป็นกระบวน
โอ๊ะฉันรักเบอร์ลินจังเนี่ย
ใครสักคนเอาอ่างน้ำที่ดูลักษณะคล้ายๆสามเหลี่ยมมนๆมาใส่ดิน ปลูกต้นไม้เฉย ฉันแทบไม่ทันรู้ว่ามันเป็นอ่างอาบน้ำเลย ถ้าไม่เห็นที่วางสบู่เสียก่อน
ตรงกลางของลานมีเพิงไม้ดูเอนๆเอียงๆไว้เก็บจักรยาน แน่นเอี๊ยดเลย
ข้างๆเพิงมีแผ่นไม้กลมๆเพนต์เป็นรูปนาฬิกา เขียนอะไรเกี่ยวกับฝรั่งเศสสักอย่าง
ความจริงมีอาร์ตเวิร์คเยอะกว่านี้แต่ฉันลืม จำได้แต่อ่างอาบน้ำกับนาฬิกา ๕๕

ตอนที่ฉันจะควักมือถือออกมาถ่ายรูปเก็บไว้ เห็นไมลีสเดินแกว่งมือไปๆมาๆแล้วก็ทัก
ฉันถามไมลีสว่าไม่ถ่ายรูปหรอ
พอถามเสร็จก็อยากตบปากตัวเองทีแรงๆ เพราะไมลีสไม่มีสมาร์ทโฟนนี่หว่าจะให้ใช้อะไรถ่าย
ไมลีสบอกว่า ไม่ล่ะฉันชอบดูมากกว่า การถ่ายรูปมันไม่ใช่สไตล์ฉันเท่าไหร่

ฉันนับถือไมลีสจริงๆที่ไม่กลัวการลืม
ฉันเชื่อว่าเราถ่ายรูปเก็บไว้เพราะเราอยากเห็นสิ่งนั้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อไม่ให้ลืมสักรายละเอียด
เพราะฉะนั้นฉันจึงคิดว่าการถ่ายรูปก็สวยงาม แต่มันจะสวยงามกว่าไหมถ้าเราจดจำสถานที่ หรือผู้คน ด้วยความรู้สึกและความทรงจำล้วนๆ?

ฉันคงจะกลัว ฉันอยากจะจดบันทึกทุกรายละเอียดทุกสิ่งที่ฉันเห็นมา เพราะฉันกลัว
ว่าจะลืม
นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่เลยล่ะความจริงแล้ว

กว่าเราจะไปถึงร้านอาหารเราก็แวะนู่นแวะนี่เป็นครึ่งชั่วโมงได้กระมัง
พอถึงร้านเราก็รู้สึกถูกใจอย่างแรง ยิ่งรู้สึกถูกใจมากขึ้นไปอีกพอเข้าไปในร้าน
ฉันได้เข้าร้านอาหารกรีกมาหลายร้าน แต่ร้านนี้น่ารักที่สุด บอกเลย ทั้งเจ้าของร้าน พนักงาน และการตบแต่งร้าน ราคาอาจจะจี๊ดนิดนึง แต่ก็ถือว่ารับได้ แถมถ้าบริการระดับนี้ ผมยินดี
ฉันกับไมลีสคุยอะไรกันไม่รู้ น้ำไหลไฟดับ ไม่เคยหมดเรื่องจะคุย ฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้เจอกับคนๆนี้ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นมากมาย วันนี้เราไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ หัวเราะกันซะมากกว่า แถมเสียงหัวเราะไมลีสนั้น เหมือนคนเมาได้ที่แล้วชอบหัวเราะ อร่อยสุด บอกเลย แต่เราแฮปปี้แล้วจะทำไม

ไมลีสบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอที่คนอื่นตลก
อ้าว
เออก็ถูกส่วนนึง๕๕

ฉันค้นพบว่าอาหารกรีกเค็มมาก
ตอนแรกฉันดี๊ด๊าเพราะได้ chips ทำจาก zucchini ทอด กินคำแรก นึกว่ากินเกลือแผ่น ตกใจกับอิทฤทธิ์อันแรงกล้าของโซเดียมมากๆ
ฉันกินแซนวิชใส่ชีสใส่ไส้กรอกของกรีก อร่อยมากๆ ขนมปังเจ้าของร้านเค้าโม้ว่าเค้าทำเอง คิดว่าน่าจะจริง เพราะมันรสชาติไม่เหมือนที่อื่น รวมๆแล้วอร่อยมาก เสียดายว่าเจ้าซูคินีทอดมันเค็มไปนิด
เส้นเจ้าของร้านก็ทำเอง ในร้านมีผลิตภัณฑ์อย่างเครื่องเทศ ใบชา และอื่นๆให้ซื้อได้ เป็นช็อปขายของเหมือนโอท็อปบ้านเราเลย ดู authentic ดี

ฉันถ่ายรูปมาหลายรูปนะความจริง ถ้าว่างและไม่ลืมจะลง

ก่อนออกร้านเม้ามอยกับเจ้าของร้านและพนักงานสักพัก ไมลีสไปจ๊ะเอ๋กับคนฝรั่งเศสลุงป้าอีกสองคน นางเพิ่งมาจากปารีส นางบอกว่าไม่ค่อยปลื้มเบอร์ลินเท่าไหร่ ไมลีสบอกว่าคงเพราะเบอร์ลินเป็นเมืองวัยรุ่นพอสมควร คนมีอายุเขาเลยไม่ค่อยชอบ
เจ้าของร้านเขาเคยเรียนที่อังกฤษ เลยชอบพูดอังกฤษมากกว่า ฉันสวิตช์ภาษาเกือบไม่ทัน ภาษาอังกฤษ ไนซ์ทูมี๊ทยูๆ

เราเดินออกจากร้านประมาณสี่ทุ่ม เราเลือกเดินกลับทางอื่น เพราะอยากเดินทางใหม่ๆ
พูดง่ายๆอยากเดินไปไหนก็เดิน
เดินไปทาง Torstraße สักพักก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา เจอ Ackerstraße 21 ไมลีสบอกว่า ปิ๊งรัก บ้านในฝันของนาง
ฉันบอกเฮ้ยไวไปไหม ไหนมันมีดีอะไร
มองขึ้นไป เออมันสวย แต่อะไรจะดีขนาดนั้น มองไปฝั่งตรงข้าม มันคือ...
ร้านขายช็อคโกแลตจ้า

ไมลีสบอกเพอร์เฟ็คมากเลย ตื่นเช้ามา กู้ดเท่นมอร์เก้น ช็อคโกลาเด้อ

จ้ะ

ไมลีสถึงกับควักสมุดมาจด บอกว่าสักวันนึงฉันจะมาเช่า

เราเลี้ยวอีกทีที่ถนนอะไรไม่รู้ แวะซื้อไอติมกินก่อนกลับ ถ้าคุณตัดสินใจจะอ้วนแล้ว ก็อ้วนให้สุดค่ะวันนี้

ระหว่างทางเจอโฮฟสวยๆอีกแล้ว แวะกันเหมือนเดิม แต่โฮฟนี้ท่าทางจะเป็นสำนักงาน เข้าไปแล้วรู้สึกเป็นการเป็นงานชอบกล แต่แว่วๆมาแต่ไกลได้ยินเพลงแดนซ์ปาร์ตี้ลอยมา น้องไมลีสแดนซ์ตามเบาๆ ฉันละขำ

เรากลับมาที่สถานีเดิมในที่สุด แล้วนั่ง s-bahn กลับบ้านสบายใจเฉิบ ถึงแม้จะหัวเราะลันทั้งในร้านอาหาร ข้างทาง หรือในรถไฟมาตลอดก็ตาม ไม่นับที่ทำท่าทำทางแปลกๆกันอีก แต่วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ

27 June 2016

27.06.2016 problem

I think I've found my problem: I can't handle disappointments.

Surprisingly, I am dragged so deep into the situation, into that sentence that changed everything. I run the scene over and over again without getting out of the loop,
because I don't want to.

I'm stuck. 
I know it well but I can't handle my feelings. I have been wandering in my state of mind the whole day and feeling weird.

There was a vacuum hole in my belly-- supposed to be the best description I could give.

There aren't any questions more left to be asked and I can find solutions in half an hour
but this feeling is really bugging me right now. I haven't realized how much I am expecting this. It's important to me. 
And so, I am hurt.
I am sorry too.

06 May 2016

06.05.2016 หนึ่งปีที่สูญเปล่า



เพื่อนคนหนึ่งเขาบอกเราในโรงอาหาร บอกว่าเขาคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านมามันเสียเวลาเปล่า ถ้าเขาไม่ต้องเรียน Studienkolleg เขาคงจะได้ทำอะไรที่ดูมีประโยชน์มากกว่านี้ เรียนซอฟแวร์ เรียนสถาปัตย์ที่เขาตั้งใจ

เรานี่ใจกระตุกเลยนะ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่หนึ่งปีจะผ่านไปโดยสูญเปล่า

ยกตัวอย่างขนาดคนที่นอนอยู่โรงพยาบาลเฉยๆหนึ่งปี เรายังไม่เรียกว่าสูญเปล่าเลย อย่างน้อยเขาก็ได้รู้จักชีวิตมากขึ้น
ก็ชีวิตเราผลักดันให้มาเป็นแบบนี้ เราก็ควรยอมรับมันแหละใช่ไหม

อีกมุมเล็กๆในใจเราก็แอบน้อยใจ เขาไม่ยินดีเลยหรอที่เราได้เจอกัน ได้เป็นเพื่อนกัน ในปีนี้ที่เราเดินเข้ามาในชีวิตของเขา เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ในชีวิตที่สูญเปล่าไหม

เรามองหน้าเพื่อนแล้วกระพริบตาปริบๆ แล้วบอกว่า
ไม่จริงหรอก มันไม่ใช่แค่การเสียเวลาเปล่าแน่
เธอได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นแน่ แค่ว่าเธอไม่รู้ตัว
มันก็จริง ว่าเธอไม่ได้ต้องการฟิสิกส์หรือคณิตอะไรมากมายอีกแล้วในชีวิตต่อไปข้างหน้า
แต่ในชีวิตเราเลือกเงื่อนไขไม่ได้ เราไม่สามารถโวยวาย บอกให้ชีวิตมันปรับเงื่อนไขให้เข้ากับเราได้สักหน่อย 
มันกลับกัน

C'est la vie! --นี่แหละชีวิต!

.

เราคิดว่าเราได้รู้จักกับ Positivity มากขึ้นในช่วงหลายเดือนมานี้
เราไม่แน่ใจ ว่าเพราะชีวิตมันเริ่มลงตัวขึ้น หรือเราปรับตัวให้เข้ากับชีวิตได้ดีขึ้นกันแน่
แต่เรารู้สึกได้ ว่าเรารู้จักที่จะยอมรับกับความไม่แน่นอน และการถาโถมเข้ามาของปัญหาได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ
เราเข้าใจแล้ว ว่าเราไม่สามารถ control ชีวิตในทุกๆด้านได้

เราเคยบอกเพื่อนคนนั้นว่า ชีวิตมันก็เหมือนคลื่นแหละ มีขึ้น ก็ต้องมีลง เดี๋ยวสิ่งดีๆก็จะเข้ามาเองนะ ไม่ต้องกังวล
เพื่อนคนนั้นถามเรากลับว่า แล้วเธอล่ะเคยมีขาลงบ้างไหม เธอดูสบายดีตลอด
เราบอกว่า มีสิ แค่เราไม่ได้เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง
เราเคยผ่านประสบการณ์ไม่ดีกับแฟลตแชร์ เจอตัวเรือด จอไอโฟนแตก ทำนมหกใส่แมคบุ้คเสียไปหลายร้อยยู มีปัญหาเกี่ยวกับค่า GEZ นี่อีก 
เผลอๆขาลงของเราจะกลายเป็นเรื่องจิ้บๆของคนอื่นอีกต่างหากนะ
ทุกคนมีหมดแหละขาลงน่ะ

.

แต่หลังจากขาลงทั้งหมดมันก็มีขาขึ้นจริงๆ อย่างเช่นตอนนี้ เราขอเรียกว่าขาขึ้นของเรา เรารู้สึกดีเวลากลับบ้าน มีเพื่อนดีๆอยู่รอบข้าง อากาศก็ดี เราหลับสบาย ไม่ต้องกังวลปวดหัวเหมือนแต่ก่อน
เมื่อสองสามเดือนที่แล้วเราร้องไห้กับแพะ บอกว่าทำไมทุกคนต้องมารุมเร้าจะเอาเงินจากเราด้วย เราเหนื่อยกับเงิน 
เราเกลียดเงิน 
เราไม่เคยเป็นคนที่ handle เรื่องเงินได้เก่งเลย ไม่เคยเลย พอต้องมาเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองจริงๆ เลยรู้สึกกลัวมัน รู้สึกว่ามันเลวร้ายมาก 
แต่ตอนนี้เราก็ทำใจได้ดีขึ้นเวลามีปัญหาพวกนี้ เราไม่ค่อย panic มากแล้วเวลาปัญหามันมา เราให้เวลาตัวเองสติแตกแปปนึง แล้วรวบรวมสติ
เอาใหม่นะ คิดใหม่ว่าจะหาทางออกอย่างไรได้บ้าง

เราค้นพบว่า ทริคในการมองบวกไม่ยากมากนัก
๑. อย่าคิดเผื่อเยอะเกินไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อะไรที่ยังไม่เกิด ก็คือยังไม่เกิด มีความสุขกับตอนนี้ที่มันยังไม่เกิดขึ้นซะ
๒. ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น คำพูดที่ว่า "ถือว่าฟาดเคราะห์ละกัน" เป็นตัวช่วยที่ดี ก็มันเป็นอย่างนี้แหละ ทำไงได้ หาทางออกทำอย่างอื่นให้ดีขึ้นดีกว่า อย่าจมอยู่กับปัญหา ไม่งั้นมันจะมีแค่เราเท่านั้นที่ทุกข์

.

พูดถึงการเสียเวลาเปล่าแล้วก็คิดถึงงานภาษาอังกฤษที่ได้จาก Mr.Connelly ตอนสมัยมัธยม
งานมันเยอะมาก มีช่วงหนึ่งที่ได้ทำแบบฝึกหัดจากหนังสือเรียน Stream อะไรสักอย่าง
พอถึงวันกำหนดส่ง แกไม่ตรวจซะงั้น หลายๆคนบ่นมาก ว่าเสียเวลาเสียพลังงานจริงๆ ไม่ตรวจแล้วจะสั่งทำไม
เรากลับรู้สึกเฉยๆมาก เราไม่แคร์ว่าแกจะตรวจหรือไม่ด้วยซ้ำ เราไม่เฮิร์ตเลยที่แกโยนงานเรากลับมาอย่างนั้นทั้งๆที่ปั่นทำแทบตาย
เราคิดว่า สุดท้ายเราก็ได้ประโยชน์เองป่าววะ ได้ทำโจทย์แก้ปัญหามากมาย เรียนศัพท์ใหม่ตั้งเยอะ มันเหนื่อยก็จริงก็เข้าใจ แต่เราไม่เรียกมันว่าการเสียเวลานะ

เราต้องมองเป้าหมาย จุดประสงค์ของการกระทำต่างๆให้ชัด เราถึงจะตัดสินใจได้ ว่านี่เรียกว่าการเสียเวลาหรือไม่

.

If you have a positive attitude and constantly strive to give your best effort, eventually you will overcome your immediate problems and find you are ready for greater challenges.
-Pat Riley

05.05.2016 once in a while

วันนี้แดดออกนะ 
ต้นไม้สีเขียว สีเหลือง สีชมพู ใบไม้ปลิวไปมาอยู่กับที่เวลาลมพัดผ่าน
มีเสียงรถวิ่งผ่านลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่แง้มไว้
คันแล้วคันเล่า จนกลายเป็นความเคยชิน
บางครั้งได้ยิน บางครั้งก็ไม่ได้ยิน 
เหมือนเสียงเข็มนาฬิกา ที่ดัง
ติ๊กๆ
อยู่ตลอด 
เหมือนเสียงหัวใจ ที่ดัง
ตุ้บๆ
อยู่ตลอด
แต่เราไม่ได้ยิน

.

ในห้องน้ำ เรานั่งฟังเสียงรถผ่านไปผ่านมาเช่นเดิม 
โอ่ะ เสียงนี้มันดังผิดปกติ ไม่รถเมล์ก็รถบรรทุกแน่ๆ
ไอ้รถเมล์ที่ตอนเช้าไม่เคยมาตรงเวลาสีเหลืองๆ

เรานั่งเอาศอกค้ำไว้บนหน้าตัก
มองเทียนสีม่วงกลิ่นลาเวเดอร์ที่เคยจุดไปหนึ่งครั้ง ข้างๆมีต้นลาเวนเดอร์ที่ซื้อมาจาก ikea
ทั้งสองอย่างตั้งอยู่บนสิ่งที่เคยเป็นจานอาหารแมวสีกรมท่า เข้ากันพอดิบพอดี
ว่าแต่ต้นนี้มันเริ่มบานๆแปลกๆนะ
คงต้องมาเล็มมาดูแลสักหน่อย

สิ่งที่นั่งดูทุกวันตอนเข้าห้องน้ำคือหน้าต่าง
หน้าต่างห้องน้ำเป็นลายคล้ายๆโมเสค กระจกที่เป็นชิ้นเล็กๆจนมองอะไรไม่เห็น
ไม่แน่ใจว่าเพื่อความปลอดภัยของเราเอง หรือคนที่มองเข้ามา
เพราะบางทีเราก็ตกใจเวลามองเข้าไปในหน้าต่างเพื่อนบ้าน

.

วันนี้ตัดผมสั้นแล้วนะ เพื่อนตัดให้
รู้สึกตื่นเต้นปานกลางถึงมาก อยู่ๆก็รู้สึกชอบผมสั้นขึ้นมา
เรารู้สึกได้ถึงผมเป็นเส้นๆตอนกำลังโดนตัด
มันดังครืดๆแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกที่ได้รับเฉลี่ยปีละครั้ง
ครั้งนี้มันโดนตัดไปเยอะกว่าปกติ

เราคิดว่ามันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการเริ่มต้นใหม่
ความตั้งใจ แค่คิดไว้มันคงไม่ชัดพอ มันต้องการบางอย่างรูปธรรม
ไหนๆก็ใกล้วันเกิดแล้ว อยากเริ่มต้นทำบางอย่างแปลกใหม่
ทำวันนี้เลยแล้วกัน

.

หลังตัดผมเรากินข้าว เรานั่งกินกันสามคน
มีอาหารจีนหนึ่งอย่าง กับผัดกระเพราไข่ดาวของเราเอง
หลังกินเสร็จเราสามคนนั่งอืดบนเก้าอี้ท่าเดียวกันหมดทุกคน คือเอนหลังพิงพนักแล้วตัวสไลด์ลงมาหน่อยๆ แล้วพูดว่า
"Ich bin satt!" --ฉันอิ่ม!
หลังจากนั้นเราก็ขยับเขยื้อนเข้ามาในห้องช้าๆ 
นั่งคุยกันสักพัก แล้วเพื่อนสองคนก็กลับบ้านไป
เราเปิด playlist เพลงคลาสสิค
แดดกำลังส่องอยู่บนเตียง แดดจ้า จ้ามากๆ
เราคลานขึ้นเตียง นอนตากแดดอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ทาครีมกันแดด ไม่ได้รู้สึกต้องออกไปไหนถึงแม้จะอากาศดี
นอนกอดตุ๊กตาสองตัวนอนตากแดดอยู่อย่างนั้น

.

เราตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเพลงมันกระหึ่มและปลุกเร้าเกินไป
เพลงคลาสสิคบางทีก็ตึงเครียดเร้าอารมณ์มาก
ก้าวที่ลุกออกจากผ้าห่มมันเย็นวาบเล็กๆ เรารีบเดินไปปิดเพลงแล้วรีบแจ้นกลับเข้ามาในเตียงแสงแดดของเราเพราะหนาวขา
เรานอนแบบใส่แว่นค้างไว้เลยนะตะกี้

เรานอนมองก้อนเมฆขาวบางๆลอยอยู่กลางท้องฟ้าสีฟ้า
เสียงรถยนต์ยังแล่นเหมือนเดิม
นอนมองเมฆมันลอยช้าๆเฉยๆ เราเอ็นจอยวันหยุดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
once in a while ก็ไม่เลว

.

ตอนเย็นทำกับข้าวกินกับไมลีส
ความจริงก็แค่เกี๊ยวซ่ากับสลัดธรรมดา
นั่งดู Danish Girl ที่สวยงามอย่างน่าเศร้า
เราไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมดที่เขาพูด แต่ความรู้สึกนั้นมันดังกว่า
รู้สึกว่าการใช้ชีวิตมิใช่การมีชีวิตที่ยืนยาว เวลาอันยาวนานจะมีความหมายอะไรถ้าเราไม่รู้สึกถึงมัน ไม่ได้ใช้มัน
ไมลีสไอทุกๆครึ่งนาทีได้ เธอไม่สบายมาสักพักแล้ว เราเริ่มเป็นห่วง แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เราเลยยอมรับอย่างนั้น และบอกเธอว่าถ้าวันเสาร์ไม่หายน่าจะไปหาหมอได้แล้วนะ
เธอรับปาก แต่เรารู้ว่าเธอไม่น่าจะไป

.

วันนี้เป็นวันที่ดีมากๆนะ
เราคิดว่า เรารู้สึกว่าบ้านนี้เป็น 'บ้าน' จริงๆแล้ว

Ich bin zu Hause.

30 March 2016

30.03.2016 วันพุธ

หึหึหึหึ

วันนี้ปรอทความสุขเตยทะลุอีกแล้วฮัฟเพราะเมลีสทำข้าวเที่ยงให้กิน เตยแฮปปี้ดี๊ด๊ามั้กๆ นี่เป็นผลพลอยได้จากการที่เพื่อนเค้ามาบ้านแล้วแต่ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน มันเลยตกมาเป็นลาภปากให้เตยเอง ฮุฮุ

แต่นแต๊นนนนนน



น่ากินมั้ย ><

เจ้านี่เรียกว่า Quiche ค่ะ เกิดมาไม่เคยกินมาก่อนเช่นกันเลยรู้สึกตื่นเต้น๕๕ เห็นเมลีสบอกว่ามันเป็นคล้ายๆเค้ก แต่มันเป็นของคาวนะ ทำง่ายมากๆ ใส่อะไรก็ได้ที่มีในตู้เย็น แต่จะขาดชีสกับแป้งไม่ได้ ส่วนในวันนี้ได้ใส่ Speck ที่มันเป็นเหมือนแฮมหั่นเป็นลูกบาศก์เล็กๆเค็มๆ ใส่ต้นหอม เห็ดแชมปิงยง แครอท ไข่ นม ละก็ชีสโรยหน้า เตยนี่ฟินนนนนนไปดาวอังคารแล้ว อร่อยมากๆ คราวแล้วที่เขาทำ crumble เตยก็ปรอทความสุขทะลุไปทีนึงละ มาทะลุอีกรอบวันนี้๕๕๕ เตยนี่เอ็นจอยอีทติ้งจริงๆ เพราะอย่างนี้เตยต้องออกกำลังกายมากขึ้นค่ะจะได้กินได้เยอะๆ (ไม่ใช่เพราะอยากแข็งแรงไรมากมายนะ ออกกำลังเพื่อกิน๕๕) 

นอกจากนั้น วันนี้เตยยังดู The Martian จนจบ ดูสึกว่าแมท แดมอนหล่อจัง เฮ้อ ๕๕๕ แต่วันก่อนเพิ่งดู Interstellar ไปมันเลยเหมือนเป็นการเปรียบเทียบระหว่างสองเรื่องนี้อย่างชัดเจน คือรู้สึกว่าพล็อต Interstellar ซับซ้อนกว่ามากๆ The Martian จะออกแนวเฮฮากว่าทำให้คนเข้าใจง่ายกว่า ในขณะที่ Interstellar จะต้องเป็นคนที่ชอบวิทย์นิดนึงอย่างเช่นฉากตอนที่พูดถึง Murphey's Law, Newton's Law คือมันก็ได้อธิบายแล้วก็จริงในหนังแต่ถ้ารู้จักหลักการพวกนี้มาก่อนมันก็จะรู้สึกอินมากกว่าอ่ะเนาะ

วันนี้เตยตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแบบว่า ร้าวไปตามกล้ามเนื้อ โดนเฉพาะก้น ปวดก้นมากๆจากการตีแบตมาราธอนเมื่อวานตอนเย็นกับรุ่นพี่และเพื่อนๆที่น่ารักของเรา เตยนี่เต็มที่กะชีวิตมากๆนะ ตีคุ้มมากคุ้มสุด ๕๕๕



ขออัญเชิญท่านพี่มา ณ ที่นี้

สนามนี้เป็นของมหาลัยฮะ ค่าเช่าแค่ 5 ยูโรเองเล่นกันไปสองชั่วโมง (ต่อครั้งนะไม่ใช่ต่อคน ถูกเวอร์ๆ) แต่ไม้กับลูกต้องเอามากันเอง TU Sport Waldschulallee ลงสถานี Messe Süd (S5) แล้วเดินต่ออีกประมาณสิบนาทีก็ถึงฮัฟ เตยรู้สึกดีมากที่ได้ออกกำลังกายแบบเหงื่อเยอะๆสักที คือเดี๋ยวนี้เหงื่อออกยากมากๆไม่รู้เป็นอะไร หรือร่างกายเราจะเบิร์นได้น้อยลง ๕๕๕ เอ๊ะนี่ยังไม่ทันยี่สิบเลยนะ แต่ตอนนี้เตยก็ขุดเอา T25 ของชอน ทีมาเล่นอีกครั้ง วันนี้จะเล่นไหวไหมนะเพราะร่างกายปวดร้าวเหลือเกิน๕๕ สู้ต่อไปเพื่อร่างกายอันตุ้ยนุ้ยของเรา

แต่วันนี้เตยคงไม่ได้ออกบ้านไปไหนละแหละ นี่ก็หกโมงครึ่งละ เวลาผ่านไปไวจริงตอนปิดเทอม วันจันทร์ที่จะถึงนี้ก็เปิดเทอมแล้ว

ฮึบๆ

ไม่รู้จะได้ว่างมาเขียนบล็อคบ่อยๆแบบนี้อีกไหม แต่ก็รู้สึกว่าสนุกดีนะได้บันทึกสิ่งที่ทำมาต่างๆ จะพยายามไม่ลืมแล้วเอามาเขียนน้า

ตอนนี้ต้องกลับไปทำการบ้านต่อละ ชีวิตแห่งความจริงค่อยๆใกล้เข้ามาแล้ว

หรือนอนตากแดดดี มีความสุขเหลือเกินหลังกิน ฮ่าๆ โอ้ยวันนี้ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกิน กะ นอน มีความสุขจริงๆ ฟินน