06 December 2015

๐๕.๑๒.๒๐๑๕ วันเสาร์

วันนี้ตื่นขึ้นมาตอนแปดโมงรอบนึง ความคาดหวังว่าจะมาทำข้าวต้มกับเบลล์ก็พังทลายลงเพราะความง่วงงุน ตัวสั่นกึกๆเพราะความหนาว เลยลากผ้าห่มมาคลุมตัวให้ซ้อนกันอีกทบ แล้วนอนต่อ

๐๙.๑๒ น.
ตื่นอีกครั้งเพราะรู้สึกกลัวว่าจะสายโด่ง รีบเปิดประตูออกไปจะปลุกเบลล์แต่กลายเป็นว่าเขาอาบน้ำเสร็จสรรพหมดแล้ว รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อยที่ตื่นสาย จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดนอกธรรมดา เตยไม่เคยชอบฤดูหนาวเลย มาตรการหัวหอมอย่างเช่นการใส่เล็คกิ้งสองชั้น แถมบางครั้งกางเกงหรือกระโปรงอีก เป็นความคิดที่ไม่น่าพิศมัยนักสำหรับเตย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่ออากาศมันต้องใส่ๆถอดๆ

เช้านี้ยังเหมือนมีเมฆคลุมในหัว(อีกแล้ว) ความง่วงจึงตามมาติดๆตลอดวัน หลังจากแต่งตัวเสร็จก็มานั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน เตยมองและลูบกระเบื้องบนโต๊ะกินข้าวดู ประหลาดใจ ว่าคนเยอรมันใช้กระเบื้องมาตกแต่งโต๊ะไม่พอ ยังใช้เป็นที่รองจานด้วย
เก๋ดีแฮะ
สลับเปลี่ยนลายได้ กันความร้อน และทำความสะอาดง่าย ในมุมมองของคนไทยรู้สึกเหมือนว่ากระเบื้องมันต้องอยู่บนพื้นหรือบนผนังเท่านั้น ทำให้ความรู้สึกแวบแรกที่เห็นกระเบื้องบนโต๊ะอาหารขัดหูขัดตา รู้สึกไม่เหมาะ เพราะเหมือนกระเบื้องมันมักจะโดนเหยียบด้วยเท้าตลอด แต่ความจริงกระเบื้องใหม่ๆก็สะอาดเหมือนกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่า cliché มันติดตามาจากเมืองไทย

เบลตักข้าวสวยหุงร้อนๆจากหม้อหุง เตยนั่งแกะถุงหมูหยองรอ มื้อเช้านี้ง่ายๆแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึง อยู่ที่ไทยไม่เคยได้กินหรอกหมูหยองกับข้าวสวยน่ะ ก็กับข้าวที่ไทยมันอลังการงานสร้างตลอดจนลืมไปว่าบางทีคนเราก็ต้องการแค่กินอะไรที่มันกินได้ พอมาอยู่ที่นี่ ครั้นจะทำข้าวต้มกินตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เลยต้องกินกับข้าวสวยแทน มันก็ไม่ได้แย่ แถมรู้สึกอร่อยสุดๆ ปิดท้ายด้วยกล้วยอบน้ำผึ้ง

วันนี้วันพ่อคนไทยทั้งหลายก็ติดต่อพ่อแม่กันใหญ่ เตยนั่งพิมพ์ข้อความหาพ่อไปด้วยตอนกินข้าว เห็นรูปเขาหน่อที่แม่ถ่ายมาระหว่างทางขับไป กทม. แล้วอยากเห็นกับตาบ้าง เขาปูนข้างทางพอหยุดจอดรถดูดีๆแล้วมันก็เลยไม่ใช่แค่ทิวทัศน์ที่ผ่านไป แต่มันคือ "เขาหน่อ" อย่างที่มันเป็นอยู่จริงๆ

หลังจากอ้อยอิ่งอยู่สักพักหลังกินข้าว ก็เริ่มเตรียมตัวออกจากบ้าน แต่ก่อนหน้านั้นเตยขอยืมหนังสือเบลมา ๑ เล่มที่เบลซื้อมา เป็นหนังสือปกอ่อนสีแดงเข้มออกเลือดหมูวางอยู่บนที่วางโน้ตเปียโน หน้าปกมีชื่อผู้เขียนกับชื่อหนังสือสีทองพิมพ์ลึกบุ๋มลงไปในเนื้อกระดาษ เตยคลี่เปิดดูข้างในตัวหนังสือแล้วพบว่าเป็นฟ้อนต์แบบพิมพ์ดีด พิมพ์หน้าเดียวต่อหนึ่งแผ่น อารมณ์เหมือนเขียนบันทึกไดอารี่ เตยรู้สึกถูกใจมากเลยขอยืมมาอ่าน อีกอย่างคืออ่าน Hobbit จะจบแล้วเลยอยากหาอะไรอ่าน เป็นภาษาเยอรมันด้วย --ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
หนังสือนี่มันเป็นอะไรที่น่าหลงใหลจริงๆ เตยถือวิสาสะเดินดูชั้นหนังสือของโฮสต์เบลสักพัก อ่านรายชื่อหนังสือที่เรียงอยู่เต็มชั้นแล้วรู้สึกถูกใจ(อีกแล้ว) รู้สึกว่าสไตล์หนังสือเท่มากๆ มีหนังสือแปลกๆที่ดูแล้วมีเอกลักษณ์ ไม่ใช่หนังสือกระแส ไม่ใช่หนังสือที่ดูเอี่ยมอ่องเกินไป ดูเป็นหนังสือที่ผ่านการพลิกหน้า การยัดใส่กระเป๋า การโดนชาหรืออะไรก็ตามที่กินอยู่เลอะมาแล้ว เตยคิดเสมอนะ ว่านอกจากที่เราจะเก็บเกี่ยวการเดินทางของความคิดนักเขียนแล้ว ในขณะเดียวกันนั้น หนังสือก็กำลังเก็บเกี่ยวความทรงจำของเราระหว่างอ่านไปด้วยพร้อมๆกัน ตอนสมัย ม.ต้น จำได้ว่าเคยนั่งฟังเพลงซ้ำอยู่ ๒ เพลงตอนอ่านโซเคนโย(ชื่อนิยาย มี ๓ เล่ม) เพลง Tane wo Maku Hibi กับ Sen no Yoru wo Koe te (ช่วงนั้นดูบลีช) มันจึงเกิดเหตุการณ์ดังนี้
๑. ฟังเพลงแล้วนึกถึงนิยายมาเป็นฉากๆ
๒. อ่านนิยายแล้วมีเพลงดังในหัวแบบไม่ต้องใช้หูฟัง
เตยรู้สึกติดใจ รู้สึกชอบที่หนังสือมีเพลงประจำตัวด้วย เลยลองอีกครั้งกับเพลง Way back into love กับหนังสือเรื่อง Methyst & Marine ได้ผลเหมือนเดิมเป๊ะ แต่ในทางกลับกัน การอ่านหนังสือเรียนกับการฟังเพลงเดียวมักไม่ได้ผลนัก อาจจะเป็นเพราะว่าเนื้อหาของหนังสือมันไม่ได้เป็นการดำเนินเรื่องจาก A ไป B เหมือนนิยาย ทำให้จำเป็นฉากๆไม่ได้? อาจจะต้องทำการทดลองต่อไป

ใส่รองเท้า ใส่แจ็คเก็ต ลงลิฟต์ แล้วเดินออกไปสูอากาศเดือนธันวาคมของเบอร์ลินแบบสบายๆกับเบล
วันนี้แดดออกด้วย เตยรู้สึกระริกระรี้กับท้องฟ้าสีฟ้าและแดดที่พาดอยู่บนตึก ก่อนที่จะคิดได้ว่าวันนี้คงไม่ได้มีเวลาออกมาเดินเล่นเที่ยวถ่ายรูปหรอก สอบก็อาทิตย์หน้าแล้วไหนจะผ้าต้องซักอีก เบลก็บอกว่าอ่านสอบเถอะเธอ เตยยอมรับความจริงแล้วเดินไป U-Bahn ต่อ สองข้างทางของละแวกนี้เป็นตึกแบบ Altbau (ตึกที่สร้างก่อนสงครามโลก) ทั้งนั้น คงจะแพงหูฉี่
เดินมาสักพักก็เจอ Flohmarkt (synonym: ตลาดนัด, ส่วนใหญ่เป็นของมือสอง) ลิสต์ช็อปปิ้งเด้งขึ้นมาในหัวอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมา เตยกับเบลเดินดูของเล็กน้อยตามทางผ่าน มีแผ่นเสียงเก่าๆขายเยอะมากๆและถูกต้อง แผ่นละ ๓ ยูโรเอง เตยว่าถ้าเตยมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงคงจะขลุกอยู่ในตลาดนี้ทั้งวัน นอกจากนั้นก็มีหนังสือมือสอง เสื้อผ้า และของประดับคริสมาสต์เยอะเหมือนกัน

หลังจากแยกกับเบลแล้วเตยก็นั่งรถไฟใต้ดินมาต่อรถกลับบ้านที่ Neuköln ระหว่างนั้นก็นั่งคิดว่าวันนี้จะต้องซื้ออะไรบ้าง จะได้แวะร้าน dm ซื้อเม็ดวิตามินฟู่มากินไหม ถ้าจะซื้อซื้อที่ไหนดี สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อเพราะรถไฟกลับบ้านจะมาพอดี๊พอดี ภารกิจเลยล้มเหลวอีกแล้ว อยากซื้อวิตามินมากินเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วแล้วเป็นเหมือนจะเป็นหวัด

ระหว่างนั่งรถกลับบ้านก็โทรศัพท์กับแพะไปด้วย รายนั้นก็เพิ่งตื่นหลังจากแอบหลับรอบสอง บรรยากาศวันเสาร์ดูสบายๆสำหรับทุกคน
"จะตื่นกี่โมงก็ได้" เป็นประโยคที่งดงามสำหรับชุมชนคนนอนดึกตื่นสาย
พักหลังๆมานี้เริ่มกะระยะการขึ้นรถไฟได้แม่นขึ้น ตอนลงจากรถไฟเลยอยู่ตรงกับทางลงพอดีเป๊ะ เป็นความภาคภูมิใจเล็กๆน้อยๆของวันนี้ ทำให้ไม่ตกรถรางกลับบ้านอีกด้วย วันนี้ลมแอบแรง ถึงจะแค่ ๘ องศาแต่ก็รู้สึกหนาวกว่านั้นมาก

หลังซักผ้าและอื่นๆเสร็จ ก็คุยกับพ่อแบบยาวๆสักที รู้สึกดีเวลาคุยกับพ่อแม่ มันทำให้เรามีกำลังใจจริงๆ และรู้สึกว่าเรามีศักยภาพพอ เราทำได้ เตยรู้สึกขอบคุณและโชคดีมาก เตยไม่อยากวางหูเลย รู้สึกติด ฮ่าๆ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

ตอนเย็น Studienkolleg มีกิจกรรมพานักเรียนผู้น่ารักทุกท่านไป Planetarium (อารมณ์เหมือนท้องฟ้าจำลอง) อยู่สถานี S Priesterweg เพื่อมาดู Milliarden Sonne  https://www.youtube.com/watch?v=Q0OdclZ0J4w

๑๖.๒๓ น. ตกรถ
๑๖.๓๓ น. วิ่งตัดหน้ารถรางไปขึ้นได้ฉิวเฉียด ใช้ทักษะการมองหน้าคนขับสะกดจิตให้เค้ารู้ว่าเราจะขึ้นไซโคอีกชั้น ความพยายามครั้งนี้สำเร็จ บ้านอยู่ใกล้สถานีเกินไปก็ไม่ค่อยดีนะ ชะล่าใจในการขึ้นรถมากๆ (ไม่ชอบยืนรอหนาวๆ เลยวิ่งกลับมาบ้านอีกที)
ขึ้นรถมาก็ได้นั่งเลยรู้สึกแฮปปี้ เริ่มอ่านหนังสือที่เพิ่งยืมมาด้วยความเห่อเล็กน้อย

Marco Wengler - Ballsaal Tucholski Spätsommer in Loitz

เป็นสไตล์เขียนแบบถ่ายทอดการรับรู้ของผู้เขียนให้ผู้อ่าน แทบจะรู้สึกได้ถึงเตียงที่ผู้เขียนกลิ้งเลยทีเดียว ชอบนะ การ describe สิ่งต่างๆอาร์ตดี Partizip I เยอะมาก และ Relativsätze ด้วย อ่านแล้วหาประธานกับกริยาแทบไม่เจอ ต้องฝึกสกิลกันต่อไป แต่ก็อ่านแล้วฟีลกู้ดอยู่ มีประโยคที่รู้สึกว่าสวยจนต้องจด:

"Ich brauche Zeit mir einen fremden und neuen Ort vertraut zu machen. Vorsichtig nähere ich mich dem Ort, belebe ihn mit meinen Sinnen und Gedanken."

การแปลให้สวยเท่ากับภาษาเดิมนั้นยากจริงๆแฮะ จะพยายามดูนะ
"ฉันต้องการเวลาเพื่อคุ้นชินกับสถานที่แปลกใหม่ ฉันเข้าถึงสถานที่นั้นอย่างระมัดระวัง และทำให้มันมีชีวิตขึ้นด้วยสัมผัสและความคิดของฉัน"

ก็ยังไม่ค่อยสวยอยู่ดี แต่หวังว่าจะเข้าใจความรู้สึกกันนะ

___

Planetarium โคตรเท่ ถึงจะเมื่อยคออย่างมากในการแหงนดูจอก็ตาม แต่จอมันเป็นครึ่งวงกลมเต็มๆทั้งหลังคา เสียงดีมาก และเกี่ยวกับ Milky way และดวงดาว รู้สึกภูมิใจที่จำ parallax ได้ตอนเรียนดาราศาสตร์กับดอกเตอร์กิตติที่โรงเรียน ในเรื่องนี้มันสอนเรื่องนี้ด้วยแต่เรายังจำได้
ดาวสวยจริงๆ เตยยิ้มออกมาอัตโนมัติเลยนะตอนที่เค้าฉาย milky way นิ่งๆให้ดู ยิ้มแบบหุบไม่ลง หลังจากที่รู้เหงาๆโหวงๆมาสักพักในตอนบ่าย คิดถูกจริงๆที่ตัดสินใจมา ได้รู้สึกเพื่อนใหม่ๆ และขำจนปวดท้องกับเพื่อนคนเอกวาดอร์ ขำตรงจะหากล้องโทรทรรศน์เนี่ยแหละ เดินไปหาที่ขายต้นคริสมาสต์กันเฉย
ไอ้เจ้ากล้องโทรทรรศน์นี่ใหญ่โตมโหระทึกมาก ใหญ่ มาก มาก เกิดมาไม่เคยเห็นกล้องใหญ่ขนาดนี้ แล้วเวลาดูต้องกดเปิดให้โดมหลังคามันแยกออก เท่สุดๆ เด็กๆตื่นตาตื่นใจ เจ้าหน้าที่ก็ปรับกล้องแปปนึง แล้วให้คนทยอยต่อคิวขึ้นไปดู เราก็ตื่นเต้นมาก ว่าฟ้าปิดแบบนี้ยังมองเห็นได้อยู่หรอ เจ๋งสุดๆ
กลายเป็นว่าเค้าส่องให้ดู Merzedes Benz หมุนๆ ที่เป็นป้ายติดอยู่บนตึกบริษัทแทน จ๋อยเลยค่ะ ยอมรับเลยว่าแอบผิดหวัง แต่เค้าก็คงทำอะไรไม่ได้เหมือนกันก็ฟ้ามันปิดนี่นะ

แต่คิดว่ามันก็เป็นกิจกรรมที่ดี เปิดหูเปิดตา แถมยังได้ขำแทบตายกับเพื่อนมาแล้ว ก็รู้สึกคุ้มแล้วล่ะ

2 comments:

  1. เตย
    ดีใจมากที่เตยโทร มาหาพ่อนะ มีความเห็นสองเรื่อง
    1. ความจำที่มีอารมณ์ ความรู้สึก อยู่ด้วย จะทำให้ไม่ลืมเรื่องนั้นอีกเลย
    2. เตยแปลได้ความหมายที่ดีมาก เป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยคิดถึงกัน พ่อคิดว่าความคิดเรื่องนี้น่าจะรวมถึงความละเอียดอ่อน ความปราณีตในการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รวมถึงผู้คนได้ด้วย
    สำหรับเขาหน่อ พ่อไม่แนใจว่ามันเป็นเขาแกรนิตหรือเขาหินปูนนะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณมากค่าสำหรับความเห็น เตยก็ไม่รู้ตัวว่าเตยจำได้แม่นขนาดไหนจนมานั่งนึกเนี่ยแหละพ่อ เรื่องกระเบื้อง ความจริงตอนแรกก็ไม่ได้นึกถึงเลยแต่พอมานั่งนึกว่าทำอะไรตอนกินข้าว ก็จำสิ่งที่คิดตอนนั้นได้เฉยเลย ความจริงในแต่ละวันก็มีหลายอย่างที่ซึมเข้ามาหาเราโดยไม่รู้ตัว ถ้าเรามานั่งจดบันทึกมันไว้ก็ดีเหมือนกันเนอะ

      Delete