15 November 2015

๑๕.๑๑.๒๐๑๕ วันอาทิตย์

   วันนี้เป็นวันที่สองของการนอนหอใหม่ที่ Adlershof เตยผ่านการขนย้ายสัมภาระมาเมื่อวานอย่างราบรื่นได้เพราะพี่ๆมาช่วยกันตั้ง ๕ คน ขอขอบพระคุณมาอย่างสูงนะครับ ตอนแรกแอบตกใจไม่นึกว่าจะมีคนมาช่วยย้ายบ้านเยอะขนาดนี้ (ฮา) แอบเกรงใจเล็กน้อย แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะหาอะไรตอบแทนแน่นอน :)

  เสียดายว่าวันนี้ฝนตกเรื่อยๆ ฟ้าครึ้ม เลยไม่ได้ออกไปสำรวจที่ทางในละแวกหอใหม่เลย อากาศก็เย็นจัดลงกระทันหันตั้งแต่เมื่อวานซืน หลังจากต่อยมวยเมื่อวันศุกร์แล้วจู่ๆฝนก็ห่าลงมา รู้สึกดีใจมากที่ซื้อแจ็คเก็ตสำหรับฤดูหนาวที่กันน้ำได้ด้วย (Wellensteyn ของเค้าดีจริงๆ-- หรือจะเป็นแค่ช่วงเห่อของก็ไม่รู้ ๕๕) เลยเดินฝ่าฝนมาได้อย่างปลอดภัย เอาผ้าเช็ดปรื้ดเดียวก็ออกหมดเลย ไม่ซึมเข้าเนื้อผ้า ตรงที่เป็นขนๆก็ตากรอแห้งสักคืนก็เรียบร้อย

   หลายคนคงจะคิดว่าเตยมาทำอะไรที่นี่ ๕๕๕ ไกลก็ไกล แพงก็แพง เตยคงจะไม่บอกว่ามันดีที่สุดหรอก ของดีกว่านี้ก็มี แต่มันดีกับ timing และสถานการณ์เตยตอนนี้ที่สุดแล้วล่ะนะ เตยเลยไม่ซีเรียสกับการที่บอกว่า 'เฮ้ยมันไม่คุ้มหรอกน่า' --- เตยว่านิยามคำว่าคุ้มของใครหลายคนคงจะแตกต่างกัน คำว่าคุ้มของเตยในช่วงนี้ ขอแค่ 'รู้สึกสบายใจเวลาอยู่บ้าน' ก็เพียงพอแล้วล่ะ บางทีเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายขนาดนั้นเนอะ
แถวนี้ก็ถือว่าสะดวกสบายพอสมควร การเดินทางง่าย มีรถรางหน้าหอเดินไปไม่ถึงนาที รถมาทุกสิบนาที วิ่งตีห้าถึงเที่ยงคืนครึ่ง รถไฟก็มีหลายเส้นพอควรอยู่ เสียแค่ว่านานเท่านั้นเอง สิ่งที่ต้องทำก็คือตื่นเช้า กะเวลาให้แม่นๆ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมาก ไม่ต้องรอหนาวนานเหมือนรอรถบัสด้วย เตยโอเคนะ อินเตอร์เน็ตก็ใช้ eduroam ถือเป็นอินเตอร์เน็ตในตำนาน (สำหรับเตยนะ) ลื่นไม่มีสะดุด ส่วนอย่างอื่นก็ต้องค่อยๆปรับให้เข้าที่เข้าทางกันไป ต้องซื้อผ้าห่ม หมอน ราวตากผ้า เป็นต้น เตยว่าชีวิตคงจะนิ่งขึ้นเยอะถ้าทุกอย่างเริ่มเข้าที่ การเรียนก็หวังว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ-- ไม่ใช่สิ ต้องทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆไม่ใช่แค่หวังเนอะ

   เมื่อวานหลังจากย้ายของก็ไปกินข้าวกันต่อ จากการสนทนากับพี่ๆที่ประสบการณ์และความรู้มากกว่าเราแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองอ่านข่าวน้อยไปแฮะ รู้สึกถึงความเด็กน้อยที่วันๆเอาแต่อ่านนิยายหรือดูหนังได้อย่างชัดเจน (ฮา) ก็ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือให้หลากหลายมากขึ้น ให้ความคิดเรา mature ขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งนิยายนะ creativity ก็สำคัญไม่น้อยอย่างอื่น เพียงแค่ว่าพอเรามีความคิดแบบผู้ใหญ่ ก็จะทำให้เราใช้ชีวิตคนเดียวได้ปลอดภัยขึ้น ทันโลกขึ้น ตอนนี้เราต้องมารับผิดชอบชีวิตเราอย่างเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เตยรู้ตัวดีว่ายังขาดจุดนี้อีกเยอะ นี่ขนาดว่าเป็นนักเรียนอยู่ก็สบายกว่าคนทำงานมากแล้วนะ พี่ๆเค้าต้องเสียภาษี สัญญาอื่นๆนู่นนี่นั่นอีกตั้งเยอะ ก็เป็นอีกขั้นที่ต้องเรียนรู้ต่อไป เตยก็คงต้องมุ่งมั่นกับการเรียนมากขึ้นด้วย พอคุยกับรุ่นพี่ที่เรียนสายรถไฟแล้วเราก็รู้สึกชอบพวกการวางแพลนมากขึ้นไปอีก รู้สึกว่ามันน่าสนใจ ถ้าว่างๆจะลองหาหนังสือพวกนี้มานั่งอ่านเข้าหัวไว้ดู จะได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วยว่าชอบจริงไหม

   พออารมณ์เราคงที่เราก็เริ่มมองโลกในแง่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ๕๕๕ คงปกติแหละมั้ง พอปัญหามันเริ่มคลี่คลายเราก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นตามลำดับ ช่วงที่มีปัญหา เตยก็ unstable มากเหมือนกันนะ แบบใจมันวุ่นวาย เรียนก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันกระทบไปด้วยกันหลายต่อจริงๆ เราต้องระมัดระวังพยายามจัดการไปทีละเรื่อง อย่าไปกวาดพยายามแก้มันทีเดียวทุกเรื่อง สุดท้ายก็เหลวเป๋วไปหมด สติสำคัญมากๆจริงๆ

เดี๋ยวไปนั่งเขียนจดหมายดีกว่า :) มีใครสนใจมาเล่น pen friend กับเตยไหม??

08 November 2015

๐๘.๑๑.๒๐๑๕ วันอาทิตย์

   วันนี้อากาศสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ แดดออก และเวลาเปิดหน้าต่างในห้องนอนก็ไม่มีไอเย็นกรูเข้ามาเหมือนวันอื่นๆ คิดว่าน่าจะสัก ๑๕ องศา+

   เมื่อวานก็อากาศคล้ายๆแบบนี้แหละ ขาดแค่แดดไม่จัดแบบวันนี้ เมื่อวานเกิดอยากนั่งกินอาหารเช้าแบบเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เลยไปนั่งจิบโกโก้ร้อนที่ร้านเบเกอรี่ใกล้บ้าน นั่งดูผู้คนเดิน Ku' Damm แบบเนิบๆระหว่างรอผ้าซักให้เสร็จที่บ้าน


   เตยนั่งหย่อนขาไปจัดการของกินไป ก่อนหน้านั้นได้ดูคลิปนี้จากที่เพื่อนแชร์ใน facebook เราก็รู้สึกตื่นเต้น ความคิดในคลิปนี้ไม่ใช่ความคิดใหม่ การที่เราตื่นเต้น หนึ่งเพราะมันเป็นกลอน เตยเชื่อเสมอว่ากลอนเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ด้วยกฎจำกัดการเขียน จากหนึ่งร้อยความเป็นไปได้ เราไม่ได้เขียนแค่ให้มันเรียงกันต่อไปเฉยๆ เราจะเลือกคำที่สวยที่สุด เพราะที่สุด กินใจที่สุดออกมา ผลลัพธ์ของกลอน จึงน่าทึ่งเสมอ
สองเพราะเราอยากลองเริ่มทำดู เตยรู้ตัวว่าติดมือถือขึ้นมากและใช้บ่อย แต่ถึงจุดนี้หลังจากที่เราดูจบ ก็อยากลองทำดู เตยรู้ว่าอาจจะเลิกติดมือถือทันทีไม่ได้ อันนั้นก็ดูจะอุดมคติไปนิด แต่เนื่องจากเตยนั่งรถไฟทุกวันด้วย ยิ่งมีโอกาสได้สังเกตอะไรมากมาย ระหว่างนั่งกินข้าว ก็เริ่ม 'มอง' เบอร์ลินอีกครั้ง ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เตยไม่ได้แค่มองเพราะลืมตาอยู่ เตยมองดูผู้คนว่าเขาทำอะไร เตยเห็นคนช่วยกันเข็นรถเข็นเด็กขึ้นรถบัส เตยเห็นคนข้างๆยิ้มให้กับผู้โดยสารตรงข้าม เตยเห็นความสวยงาม มากขึ้น จากสิ่งเล็กๆที่เรามองผ่าน ก่อนหน้านี้เตยคิดว่าเบอร์ลินนี่มันช่างเป็นเมืองแห่งบุหรี่เสียจริง อึดอัด ปวดหัวกับควัน แต่ควันที่น่ากลัวควันบุหรี่ ก็คืออคติที่คลุมหัวเราไว้ ก่อนหน้านี้เตยมองแต่ตัวเองเป็นหลัก ยึดมุมมองแต่จากตัวเอง แต่เฮ้ เมืองนี้มีประชากรประมาณสามล้านคน บุหรี่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย เราหาความสุขจากชีวิตทั่วๆไปทุกวันดีกว่า มองหาอะไรให้กว้างขึ้น
   อย่างที่บอก เตยก็ไม่รอช้า อยากรู้ อยากลอง ระหว่างนั่งรถไฟใต้ดินไปเอาท์เล็ต ได้นั่งข้างผู้ชายคนหนึ่งพร้อมกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ สองสถานีผ่านไป เตยก็อยากลองคุยดู ใจเต้นแรงมากเพราะตื่นเต้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เตยคุยกับผู้โดยสารที่เดินทางร่วมกัน เคยทำหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้มันมีความหมายเปลี่ยนไปเพราะมันไม่ใช่ความบังเอิญ มันเป็นการเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างเล็กๆในใจของเรา เตยหายใจเข้าแล้วหันไปถามเค้าว่าขอโทษนะ ขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณมาจากไหน (เค้าดูเป็นต่างชาติ ไม่ใช่คนเยอรมัน) เค้าดูประหลาดใจแต่ไม่ได้มองเราว่า creepy อะไรแบบนั้นนะ เค้าก็ยิ้มละตอบว่ามาจากเมารีเชียส เตยนั่งนึกภาพแผนที่โลกอยู่แปปนึง โอ้โหนี่เป็นคนเมารีเชียสคนแรกในชีวิตของเตยเลยนะ Mauritius นี่เคยรู้จักแค่จากการบ้าน journal ของ Mr.Connelly บร๊ะเจ้าไม่เคยคิดว่าจะเจอคนมาจากประเทศนี้ในรถไฟใต้ดิน หลังจากนั้นก็คุยกันเล็กน้อย เค้าเป็นสจ๊วตทำงานแอร์เบอร์ลินนู่นนี่นั่น หลังจากนั้นเตยก็ต้องลงรถ แต่ลงรถด้วยรอยยิ้มนะ มันอาจจะเป็นแค่ small talk เล็กๆน้อย แต่เตยก็รู้สึกอุ่นในใจว่าเราสามารถได้ฟังเรื่องราวจากคนหลากหลายแบบนี้ได้ง่ายๆอย่างนี้เอง มันไม่ได้ยาก มันไม่ได้ซับซ้อน มันไม่ได้น่าอาย เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกลถึงอีกฟากมหาสมุทร เราก็รู้สึกเหมือนได้เดินทางแล้วผ่านเรื่องเล่าจากคนที่มารวมกันที่นี่ เผลอๆนี่ exclusive สุดๆ เตยชอบฟังเรื่องต่างๆ ชอบน้ำเสียงเวลาเขาพูดถึง หน้าตอนเขานึกถึงเวลานั้น ที่ๆเขาพบเจอสิ่งต่างๆ ความคิดมันเชื่อมโยงไปไกล ทั้งข้ามสถานที่และเวลา มันเจ๋งอ่ะ หลายคนอาจจะคิดว่าเฮ้ยนี่มันจะโลกสวยไปแล้ว เตยคงจะถามกลับว่า แล้วทำไมจะไม่ล่ะ (why not)? :)

07 November 2015

๐๖.๑๑.๒๐๑๕ วันศุกร์

ไม่ได้เขียนตั้งนาน วันนี้เกิดคึกอยากบันทึกอะไรลงบล็อคบ้าง หลังจากซุ่มเขียนแต่ไดอารี่มาหลายเดือน
เขียนไดอารี่จะเขียนอะไรก็ได้ เป็นการเขียนที่ไม่ต้องกรอง ไม่ต้องคาดหวังจากการเขียน ความจริงก็เป็นแค่การบันทึกการสนทนาภายในใจของตัวเองเฉยๆ เป็นการเขียนที่สบายและจริงใจมากที่สุด-- แต่ทุกคนก็รู้ว่าความจริงใจเกินไปมิใช่ผลดี

บทความนี้จะเป็นการเขียนแบบไม่แพลน อาจจะวกวนหน่อย ขออภัยมา ณ ที่นี้

ตอนนี้มาอยู่เยอรมันได้ ๓ เดือนกว่าๆแล้ว นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นไปทุกวันน้ำหนักก็ตามมาด้วย การมาเยอรมันครั้งนี้ แปลกไปกว่าทุกที ครั้งนี้ การวิ่งขึ้นรถไฟทุกวันมันมีความหมาย ชั่วโมงทุกชั่วโมงมีค่า และการใช้สมองและทักษะทั้งหมดของเรา ก็ดูเป็นรูปธรรมกว่าทุกครั้ง

ที่ผ่านๆมาประโยคที่บอกว่า "จะมาเรียนต่อที่เยอรมัน" นั้น, แม้จะพูดและเขียนมานับครั้งไม่ถ้วน ภายในใจเรายังไม่เคยเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ การมาครั้งก่อนๆเราคร่ำเคร่งแต่กับภาษา มันยังเป็นแค่ทางผ่าน เหมือนของเรียกน้ำย่อย ซึ่งเตยก็รู้สึกขอบคุณมากๆ เพราะเมนคอร์สนี้คงจะใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะเสร็จกระบวน ๔ หรือ ๕ ปีนู่น
เบอร์ลินเป็นเมืองใหญ่สมคำร่ำลือ ตอนนี้ความจริงก็ยังไม่ได้รู้จักเบอร์ลินมากไปกว่าตอนปี ๒๐๑๒ เสียเท่าไหร่ เพราะมัวแต่นั่งรถไฟไปเรียน กลับบ้าน ซักผ้า นอน การที่เราเข้าไปอยู่ กับไปเที่ยวนี่มันต่างกันมากจริงๆ ตอนเดือนกันยาช่วงแรกๆที่มาอยู่ใหม่ๆ นั่งรถไฟผ่าน Fernsehturm กับแม่น้ำ Spree ทุกวันเช้าเย็น เตยยังไม่ค่อยเชื่อตาตัวเองว่า เฮ้ย นี่เรามาอยู่ที่นี่จริงๆแล้วนะ นี่แหละเมืองที่เราเคยคิดแค่วางแพลนว่าจะ"มาเที่ยว" มันเพี้ยนกลายเป็น"มาอยู่"ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

ในตอนแรกคาดหวังไว้น้อยมากว่าจะสอบติด มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำ ไม่เคยซ้อมสนามสอบที่ไหนมาก่อน การสอบ Studienkolleg เป็นอะไรที่ร่ำลือและได้ยินมาตั้งแต่ม.๔ ...รู้สึกเกรงขามในคำนี้มานานหลายปีดีดัก แต่พอเราต้องมาเผชิญหน้ากับมัน ก็ไม่ได้อลังการงานสร้างแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เคยกลัวและกังวลมันเป็นแค่การคิดไปเองในหัวทั้งนั้น พอไปสอบ เราก็แค่ต่อคิว นั่งรอ เขียนชื่อ และทำโจทย์เหมือนสอบไฟนอลในโรงเรียนทั่วไป

--ไม่ใช่แค่การสอบนี้นะที่เตยสังเกต เตยสังเกต phenomenon นี้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว (เรียกว่า phenomenon ได้ไหม? สำหรับเรารู้สึกว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน สงสัยเป็นเพราะเตยยังเป็นเด็กน้อยมากนัก)

มันมีหลายอย่างที่เราเคยกลัวมันและคิดว่าจะยากมากแน่ๆ แต่พอเราเดินมาถึงจุดที่ "ต้องทำ" แล้วมันกลับกลายเป็นเรื่องที่เรียบง่ายกว่าที่คิด เรื่องหาบ้าน ต่อวีซ่า ขึ้นเครื่องบินเอง ทำเอกสารต่างๆ เตยเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่ดูเคร่งเครียด จริงจัง ยุ่งยาก อยู่ๆเตยก็เดินมาถึงจุดนี้และลงมือทำมันต่อไป แบบไม่ต้องคิดอะไรเลยนอกจากสิ่งที่กำลังดีลอยู่ พยายามที่จะแก้ปัญหาไปทีละเปลาะ ตอนนี้พอเจออะไรที่ดูยุ่งยาก เตยก็คิดว่า เอาน่ะ ทุกขั้นตอนมันถูกออกแบบให้มนุษย์สามารถจัดการได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้? ความคิดที่ทำให้เรารู้สึกกลัวความยุ่งยาก มันก็เหมือนนิทานหลอกเด็กให้กลัวต่างๆนานา ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เด็กน้อยจึงพยายามหลีกเลี่ยง วิ่งหนี ร้องไห้ ทั้งหมดนี้สูญเสียเวลาและพลังงานกับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น

หลังจากผ่านความผิดพลาดหลายอย่างมา เตยก็ต้องยอมรับว่ากลัวการตัดสินใจ ไม่มั่นใจ ว่าสิ่งที่เราคิดนี่จะถูกไหม แต่ต้องขอบคุณหลายๆคนที่ช่วยให้คำปรึกษา ทำให้เตยรู้สึกว่า เออ ใครมันจะไปรู้ถ้าเราไม่ได้ไปลอง"ทำ"ดู ตอนนั้นที่เราคิด เราตัดสินใจเต็มที่แล้ว ถ้ามันไม่ได้ออกมาตามที่คาดหวัง ก็หาทางออกใหม่ เราไม่ใช่หมอดูที่จะหยั่งรู้ การที่เราตัดสินใจไป ก็เพื่อทำให้รู้ เท่านั้นแหละเนาะ