29 February 2016

๒๙.๐๒.๒๐๑๖ วันจันทร์

วันนี้วันจันทร์ ต้องมีเรียนเช้าเลยตื่นมาตอน ๕.๔๕ อย่างเข้มแข็ง ตัวก็ปวดไปหมดจากคอร์สมวยไทยเมื่อวาน แต่มันก็รู้สึกดีที่ปวดกล้ามเนื้อแบบนี้ อย่างน้อยก็ดีกว่าอึดอัดเพราะไม่ได้ออกกำลังกายล่ะนะ 

ตอนเช้าก็รู้สึกเสียอารมณ์เล็กน้อยเพราะเพื่อนเบี้ยวนัดทำงานกลุ่มเขียนรายงานการทดลอง (Protokol) วิชาฟิสิกส์ เตยนี่อึ้งไปเลยจริงๆ ทีถ่อไปหาแฟนตอนวีคเอนด์ขาดเรียนกี่วันก็ไปได้ แต่วันนี้อุตส่าห์นัดกันไว้ดิบดี ก็ยกเลิกแล้วก็ไม่มาเรียนซะงั้น เขาคงให้ความสำคัญต่างกันกับเราสินะ? แต่เตยก็ปวดหัวอยู่ดี เพราะเราไม่ชอบการที่ทำงานกลุ่มเหมือนเป็นงานเดี่ยว อย่างน้อยมานั่งวาดกราฟด้วยกันก็ยังดี

หลังจากที่ปิดเฟสบุ้คไป รู้สึกว่าโลกมันเงียบลงนะ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะเงียบเหงา มันแค่มีการอ่านข้อความต่างๆน้อยลงเท่านั้นเอง แอบกลัวเหมือนกันนะว่าเราจะเป็นคน anti-social หรือเปล่ากับการทำแบบนี้นานๆไป แต่เตยก็คิดว่า เฟสบุ้คมันกำลังสร้างนิสัยบางอย่างให้ตัวเอง ทำให้เราอยากทำ เพื่อที่จะได้โพสต์ ได้แชร์ลงในเฟส แทนที่เราจะทำสิ่งๆหนึ่ง เพื่อให้เราได้ชื่นชม ดื่มด่ำกับมัน หรือส่งให้เพื่อน/คนที่เราอยากส่งให้อย่างแท้จริง ความหมายของการกระทำ มันก็กลายเป็นทำให้โลกรู้ ไม่ใช่ทำให้เรา/คนๆนั้นรับรู้ มันไม่ใช่เลย มันรู้สึกเหมือนเรา show off ชีวิตเราอยู่ตลอดเวลา มันเหนื่อย กับการที่จะต้องถ่ายรูป เพื่อเอาลงให้คนรู้ว่าเออนี่มาที่นี่นะ มากินร้านนี้แล้ว ตอนนี้มาเที่ยวอยู่  อีกอาทิตย์จะสอบแล้ว ฯลฯ เราไม่ได้อยู่กับเป้าหมายของตัวเองเลย ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราใช้ชีวิตไปให้โลกอ่าน หรือใช้ชีวิตไปเพื่อตัวเองกันแน่ 

เตยก็เคยติดวนอยู่ในโลกใบนั้น เตยไม่ได้จะบอกว่าเตยทำดีแล้วที่เดินออกมาจากตรงนั้น แต่มันแปลว่าเตยควบคุมตัวเองไม่ได้ต่างหาก เตยแยกไม่ได้ ว่าที่เตยคิดแบบนี้ ทำแบบนี้ เพื่ออยากให้คนอื่นได้อ่าน หรือมันมาจาก intention ข้างในของเตยจริงๆ เตยเลยต้องเดินออกมา ทำระยะห่างกับมัน ตอนนี้ก็ประมาณเกือบสามเดือนแล้ว เตยรู้สึกว่าเตยมองเห็นชัดเจนขึ้น ว่าเราต้องการอะไร อยากไปไหนทำอะไร อยากติดต่อกับใครบ้าง เราให้ความสำคัญกับใครอย่างแท้จริง เตยก็ต้องจดวันเกิดเพื่อนๆคนรู้จักเอง ไม่มีเครื่องมือมาคอยเตือนวันเกิดคนนับพันแบบเฟสบุ้ค ก็จริง ที่ว่าสังคมมันอาจจะแคบไปบ้าง แต่เตยว่าเตยคงจะเป็นคนแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ว่าเราจะรู้จักคนเยอะแบบหยาบๆไปทำไม มันไม่จำเป็นสำหรับเตย เตยขอเพื่อนแค่ไม่กี่กลุ่ม ที่อยู่ด้วยกัน เจอกันทีไรก็สบายใจก็เพียงพอแล้ว

ชีวิตนี้มันเป็นของเราจริงๆ ถ้าไม่มั่นใจว่าเราอยากทำสิ่งนี้จริงไหม เตยเคยถามตัวเองว่า ถ้าเราจะไม่ได้โพสต์สิ่งที่เราทำอยู่ลงเน็ตล่ะเราจะทำมันอยู่หรือเปล่า?

ที่เขียนทั้งหมดข้างบนนี้คือการเวิ่นเว้อระหว่างทำการบ้านไม่ได้ในห้องสมุด ๕๕๕

วันนี้รู้สึกอากาศหนาวกว่าปกติ ลมแรงมาแบบอื้อหือ ขานี่สั่นกึกๆ แต่ด้วยความตั้งใจที่แรงกล้า เตยก็ไม่ย่อท้อและเดินมาเข้าห้องสมุดจนได้ในตอนบ่ายหลังเลิกเรียน เตยชอบบรรยากาศห้องสมุดมาก ติดอย่างเดียว วันนี้ใส่รองเท้าบู้ตมาซึ่งพื้นมันเป็นยาง เราก็เดินไปแล้วรู้สึกเหมือนเด็กสามขวบเพิ่งหัดเดินแล้วพ่อกับแม่ให้ใส่รองเท้าเดินละมีเสียงดังๆ อายมากตอนเดินเลยไม่ได้ไปเดินดูหนังสือให้หนำใจเลย พรุ่งนี้เตยจะใส่คอนเวิร์ส! 
...ซะที่ไหน พรุ่งนี้มีนัดกับหมอทำคอนแท็คเลยต้องรีบกลับบ้านนี่นา 😓

ยังอ่านหนังสือไม่ถึงไหนเลย ใกล้จะย้ายบ้านกับสอบแล้วด้วย ทำไมช่วงสอบมันถึงมาเหมาะเจาะพอดีกับทุกอย่างแบบนี้น้าา สู้ต่อไป จะเจออะไรเดี๋ยวเราก็ผ่านไปได้เอง 😁 เตยว่าโชคดีที่อย่างน้อยเตยก็ไม่ชอบยอมแพ้อะไรง่ายๆ เตยคิดเสมอนะ ว่าถ้าเราทำแล้ว จะน้อยขนาดไหนขนาดไหนก็ตาม มันจะไม่เกิดผลอะไรเลยได้ยังไง? มันไม่มีทางเท่ากับการที่เราไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วแน่ๆ ดังนั้นถ้าใครกำลังท้อ อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ ไม่ต้องคิดมากหรอกว่าจะเสียเวลาไหม ถ้าทำไปเรื่อยๆมันต้องส่งผลสักวันนึงแหละ ความจริงแอบเอามาใช้บ่อยกับการออกกำลังกาย๕๕๕ ถ้าเราออกกำลังบ่อยขึ้นมันจะเท่ากับคนที่ไม่ออกเลยได้ไง ถึงจะไม่ผอมกว่า อย่างน้อยแข็งแรง สุขภาพดีกว่าก็เอาละวะ 😂

อุ่ยยย เลยห้าทุ่มมาแล้ว ต้องรีบนอนๆ 😴