20 November 2014

[THA] จุดอ่อน

หลายๆอย่างได้พัดผ่านเข้ามาในชีวิตเหลือเกินช่วงนี้ เลยหยุดมานั่งคิดทบทวนอะไรสักหน่อย

คนที่แข็งแกร่งคือคนที่รู้จุดอ่อนของตนเอง
จริงหรือ?

ไม่เคยคิดเลยว่า ม.๖ จะกระชิดเราเข้ามาเร็วถึงเพียงนี้ เหมือนเราแค่กระพริบตา ทำไมช่วงเวลาเป็นปีๆถึงไปเร็วเท่าเอื้อมแสงแค่เอื้อมเดียว?
และก็เป็นปีแห่งความจริงที่เราต้องยอมรับจุดอ่อนตัวเอง ว่าเรายังไม่พร้อม และไม่เคยพร้อมมาก่อนที่จะสอบแพทย์ และก็ช่างน่าประหลาดว่า ถึงกระนั้นแล้วเราก็ยังเชื่อใน potential ของเราว่าจะไปถึงจุดนั้นได้จริงๆอยู่ดี

จุดอ่อนของเรา คือการหลอกตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ

ความเชื่อ และความทะเยอทะยานของเราไม่เคยลดลง แต่มันกลายเป็นว่าทำให้เราประมาทเวลาอยู่เรื่อย "คิด"ว่าเราจะทำได้ แต่ไม่เคย"ทำ"ได้ถึงลิมิตของเราเองเลยสักครั้ง น่าแปลกที่เราไม่เคยรู้สึกได้ถึงคำว่า "เต็มที่" มาก่อนเลยแม้จะผ่านอะไรมาหลายอย่างแล้วในช่วงสองสามปีมานี้

เมื่อล้มเหลว ก็ปลอบใจตัวเองว่าเราแค่ไม่ได้พยายามถึงที่สุดเท่านั้นเอง

bullshit

มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเราเองยังไม่รู้จักคำว่าเต็มที่มาก่อน (ในนัยยะของการทุ่มเทความสามารถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ด้วยศักยภาพที่เป็นนามธรรม ไม่นับการวิ่ง หอบกระสอบทราย ฯลฯ) มันยากมากนะที่จะรู้สึกได้ว่าเราเต็มที่กะมันมากพอแล้ว
คำว่า พอ ไม่ค่อยจะปรากฎมาในสารบบของเราเท่าไหร่ เพราะเราเชื่อเสมอว่าเราต้องไม่มีขีดจำกัด

อีกจุดอ่อนที่เรากำลังประสบพบเจอในช่วงนี้อีกอย่างคือ
เราสัมผัสได้ว่าเรากำลังเปลี่ยนไป ในหลายๆอย่าง ทัศนคติ ความคิด อารมณ์ มุมมอง บุคลิก มันเหมือน ณ จุดๆหนึ่งเราก็ได้ "ก้าวข้าม" ตัวตนที่เด็กกว่าของเราไปซะอย่างนั้น เหมือนกับตอนที่เลิกดูการ์ตูนเล่นเกมออนไลน์ไปตั้งแต่ ม.ต้น เลิกโดดหนังยางไปตั้งแต่ ป.๖ นี่ก็เช่นเดียวกัน จู่ๆเราก็ตัดความสัมพันธ์กับตัวตนที่เด็กกว่าของเราไปโดยสิ้นเชิงแบบไม่มีสาเหตุว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่เราก็ดำเนินชีวิตตามปกติ น่าแปลกที่เราคิดเปลี่ยนไปเยอะมาก เหมือนแค่ช่วงดีดนิ้ว หลังจากเสียงป๊อป อะไรที่เคยแคร์ เคยคิดมาก เคยวุ่นวาย ก็กลายเป็นช่างมันไปซะดื้อๆ คิดว่ามันไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เราจะต้องมานั่งเสียพลังงานและความรู้สึกด้วย เป็นต้น ก็น่ากลัวอยู่ว่าเราจะกลายเป็นคนที่แข็งกระด้างขึ้นหรือเปล่า แต่หลายๆในแง่บวกก็ชัดเจนขึ้นด้วยเช่นกัน เลยยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มันทำให้เราเป็นคนอย่างไรมากขึ้นกันแน่ชัดเจน

แล้วมันเป็นจุดอ่อนด้วย เพราะเราคิดไม่เหมือนคนอื่นๆ ซึ่งเราสัมผัสได้ว่ามันแตกต่างมาก อาจจะถึงขั้นแปลกแยกด้วยซ้ำ แต่คือเรารู้สึกว่าเราเป็นคนที่มีความคิดรุนแรง คือถ้าคิดอะไรแล้วจะรู้สึกว่ามันมีพลัง (ฟังดูตลกมั้ย๕๕๕๕ เหมือนหนังจีนกำลังภายใน) แต่มันเป็นอย่างงั้นจริงๆที่ว่าเราจะพูดมันด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากเดิม เราจะใส่ความรู้สึกลงไปในนั้นด้วยเมื่อเรา strongly mean something ซึ่งบางครั้งเราก็สัมผัสได้ว่ามันทำให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัดกับการที่เราแสดงจุดยืนชัดเจน(อาจจะเกินไป)และบ่อยครั้งที่มันเป็นการขัดแย้งจุดยืนของคนหลายคนในสังคมรอบๆข้างตัวเรา และเราเข้าใจดีว่าบางครั้งมันก็อันตรายเกินไป และบางครั้งก็น่ารำคาญสำหรับคนอื่นๆ

พักหลังมานี้เราเลยเงียบไว้ซะ แต่ในหัวไม่เคยเงียบเลย มันเหนื่อยกับการต้องรับสีหน้าทุลักทุเล

.

คนที่จะแข็งแกร่งได้ต้องรู้จุดอ่อนตัวเอง? การ "รู้" อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องยอมรับและพยายามแก้ไข ในส่วนที่แก้ได้ด้วยสินะ เพราะเราเคยคิดว่าบางคนก็แค่ชิงพูดจุดอ่อนตัวเองออกมา เพราะมันไม่น่าอายเท่าฟังมันจากปากคนอื่นเท่านั้น สำหรับเราเราคิดว่าการที่เราเขียนมันออกมาแบบนี้ จะเป็นตัวเตือนสติตัวเองได้มากกว่าการรู้ในหัวเฉยๆ เพราะบางครั้งเราก็ลืมไปเสียดื้อๆว่าเราเผลอทำสิ่งนั้นอีกแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เหมือนการเวิ่นยาวยามดึกทั่วๆไป ที่ความจริงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งวัน แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถนำพาความคิดทั้งหมดลงมาในนี้ได้อย่างที่เคยหวังไว้

แล้วเราจะมาเวิ่นต่อในโอกาสหน้า